บอกลาการทำงานแบบ 996 บริษัทแม่ TikTok ให้พนักงานทำงาน 10 โมง – 1 ทุ่ม แหวกขนบการทำงาน 9 โมง – 3 ทุ่ม 6 วัน/สัปดาห์ ของบริษัทเทคจีน
TikTok เทคจีนเจ้าแรกๆ ที่ลดเวลาทำงานของพนักงาน
ถ้าพูดถึงประเทศทำงานหนักหลายคนอาจจะนึกถึงญี่ปุ่น แต่จริงๆ แล้วในประเทศจีนก็มีวัฒนธรรมการทำงานหนักเช่นกัน โดยเฉพาะในบริษัทสายเทค เช่น Alibaba JD หรือ Pinduoduo ถึงขนาดที่ว่าเกิดชื่อเรียกค่านิยมดังกล่าวโดยเฉพาะว่า “996″ หรือ การทำงานตั้งแต่ 9 โมงเช้า – 3 ทุ่ม เป็นเวลา 6 วัน/สัปดาห์
แต่ล่าสุด ByteDance หรือบริษัทแม่ของ TikTok ปรับทิศทางองค์กรสวนทางกับวัฒนธรรมดังกล่าวโดยให้พนักงานทำงานตั้งแต่ 10 โมง – 1 ทุ่ม เท่านั้น จากข้อมูลในเอกสารภายในของ ByteDance ที่สำนักข่าว Bloomberg ได้รับ
ที่สำคัญคือ หากจะทำงานล่วงเวลา จะต้องมีการแจ้งล่วงหน้า 1 วัน และจะต้องได้รับอนุญาตก่อน โดยสามารถทำงานล่วงเวลาได้ไม่เกิน 3 ชั่วโมง ในวันปกติ และ 8 ชั่วโมง ในช่วงวันหยุด และจะได้รับค่าจ้าง 3 เท่าของปกติ
996 เสาหลักบริษัทเทคจีนที่กำลังผุกร่อน
วัฒนธรรมการทำงานแบบ 996 เป็นที่รู้จักในฐานะวัฒนธรรมภายในบริษัทเทคของจีน ซึ่ง Jack Ma เองก็เคยออกมาสนับสนุนวัฒนธรรม 996 เช่นเดียวกัน เขามองว่าหากสามารถทำงานแบบ 996 ได้ เราก็จะมีความสุขที่ยิ่งใหญ่
เขายังบอกอีกว่า คนที่อยากเข้ามาทำงานที่ Alibaba ก็ต้องยอมทำงาน 12 ชั่วโมงต่อวัน เพราะที่ Alibaba ไม่ได้ต้องการคนที่ทำงานแค่ 8 ชั่วโมง ถ้าไม่ทำงานหนักตั้งแต่วัยเยาว์ แล้วจะให้ไปทำตอนไหน?
ประเด็นก็คือ ในมุมของพนักงาน การทำงานแบบ 996 บั่นทอนทั้งร่างกายและจิตใจ จนถึงขนาดที่เคยมีพนักงานของบริษัทเทคในจีนเสียชีวิตในวัยเพียง 21 ปี ขณะที่เดินทางกลับจากที่ทำงานในเวลาตี 1
ทำให้ในภายหลังสังคมเริ่มตั้งคำถามกับวัฒนธรรม 996 มากขึ้น อย่างในกรณีล่าสุดเราจะได้เห็นขบวนการ Worker Life Matter เกิดขึ้นในจีนต่อต้านวัฒนธรรมการทำงานหนัก
นอกจากนี้ วัฒนธรรม 996 เริ่มเป็นที่จับตาโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนมากขึ้นหลังประเทศจีนประกาศนโยบายความมั่นคงร่วม (Common Prosperity) โดยเน้นสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจที่ “ทุกคน” ได้รับความมั่งคั่งร่วมกัน
ไม่ใช่การทำงานที่ให้พนักงานตัวเล็กๆ ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำใช้สุขภาพกาย จิตใจ และชีวิตในด้านอื่นๆ แลกเป็นเงินเดือน ส่วนคนที่ได้ประโยชน์ที่สุดคือนายทุนที่ได้ประโยชน์จากหยาดเหงื่อของแรงงานที่ในท้ายที่สุดก็ถูกเปลี่ยนเป็นกำไรของกิจการ
ที่มา – Bloomberg
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา