เมื่อเศรษฐกิจโลกยังไม่ดี ผู้บริโภคจึงระมัดระวังในการจับจ่ายมากขึ้น และสินค้าที่โดนผลกระทบไปเต็มๆ คือกลุ่มสินค้าแฟชั่น โดยเฉพาะตัวเครื่องประดับ และปัจจัยนี้ทำให้ Tiffany & Co. ต้องกลับไปวางแผนใหม่เพื่อสร้างความยั่งยืนของธุรกิจ
แบรนด์ Luxury อยู่ยาก คนระวังจับจ่าย
หากเจาะไปที่ตลาดสหรัฐอเมริกาจะพบว่า ผู้บริโภคเลือกที่จะจับจ่ายสินค้ากลุ่มเครื่องประดับลดลง และหากอยากซื้อจริงๆ ก็จะไปหาแบรนด์ระดับกลางที่มีราคาถูก และดีไซน์แค่พึงพอใจ ทำให้กลุ่มแบรนด์ Luxury ที่หนึ่งในนั้นคือ Tiffany & Co. ต้องปรับตัว เพราะหากยังทำตลาดด้วยแผน และสินค้าแบบเดิม โอกาสที่จะมีที่ยืนในตลาดเครื่องประดับก็คงยากขึ้น
ซึ่งเหตุนี้เองทำให้ยอดขายในประเทศสหรัฐอเมริกาที่เป็นตลาดใหญ่ที่สุดของบริษัทลดลง 3% ในไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ 2559 (สิ้นสุด 31 ม.ค. 2560) เหลือ 587 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 20,000 ล้านบาท ส่วนยอดขายรวมทั่วโลกทั้งปีปิดที่ 4,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.4 แสนล้านบาท ลดลง 3% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ปรับลุคสู่ Affordable Brand ช่วยได้
Michael Kowalski ประธาน และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Tiffany & Co. เล่าให้ฟังว่า จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ทำให้บริษัทตัองปรับตัวตาม โดยล่าสุดได้ส่ง Collection ใหม่มาเมื่อปลายปีก่อนในชื่อ Tiffany T ที่ปรับให้มีราคาย่อยเยา และมีการออกแบบที่เข้ากับผู้บริโภคยุค Millennial มากขึ้น
“เราขอเรียก Collection ใหม่ว่า Fashion Jewelry เพราะการวางตัวเองเป็น Luxury แค่อย่างเดียวคงลำบากในการดำเนินธุรกิจในตอนนี้ แต่ไม่ใช่ว่าเราจะลดระดับของแบรนด์ภาพรวมไปเลย เพราะความ Luxury ยังเป็นแกนหลักของธุรกิจอยู่ แต่จะเน้นทำตลาดกลุ่มราคาต่ำกว่า 500 ดอลลาร์มากกว่าเดิม พร้อมกับเดินหน้า Ecommerce มาขึ้นด้วย”
สรุป
ถึงยอดขายในสหรัฐอเมริกาจะตก แต่ในประเทศญี่ปุ่น และจีนต่างเติบโต 15 และ 9% ตามลำดับ เพราะการสื่อสารแบรนด์ รวมถึงเรื่องค่าเงินทำให้คนในภูมิภาคเอเชียเข้าถึงสินค้ากลุ่ม Luxury ได้ง่ายขึ้น ดังนั้นเราอาจยังไม่เห็นสินค้ากลุ่ม Fashion เข้ามาทำตลาดในพื้นที่นี้มากนัก เพราะหากคนยังมีกำลังซื้ออยู่ การจะลดระดับแบรนด์ลงมาก็คงไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องนัก
อ้างอิง // Customers take shine to Tiffany’s cheaper, fashion jewelry
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา