ซีแอค (SEAC) เปิดตัว “The SEAC HR Club” ครั้งแรกของคลับเพื่อผู้นำองค์กร และ HR Leader
การเรียนรู้รูปแบบใหม่ที่เน้นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และลงมือทำจริงอย่างต่อเนื่องผ่าน 8 เรื่องสำคัญเร่งด่วน นำเสนอบทเรียน 8 Critical Themes สู่การพาบริษัท และบุคลากรให้อยู่รอด และเติบโตในยุค Digital Transformation
อริญญา เถลิงศรี กรรมการผู้จัดการ และผู้ก่อตั้งซีแอค (SEAC) ผู้นำด้านการพัฒนาผู้นำ บุคลากรและองค์กร เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต บอกว่า “The SEAC HR Club” คลับแห่งแรกในประเทศไทย ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อให้ผู้นำระดับผู้บริหาร และ HR Leader ได้มีเครื่องมือ ข้อมูลเชิงลึก และเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนแนวคิดเพื่อสร้างแผนการบริหารจัดการงานด้าน HR ใหม่ ด้วยจุดแข็งจากการมีเครือข่ายความสัมพันธ์กับพันธมิตร และคู่ค้าที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านจากทั่วโลก ทั้งในอเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย และเอเชีย ทำให้รู้ถึงจุดเด่นของแต่ละสถาบันของโลกว่า ใครเก่งด้านไหนอย่างไร และรู้ว่าเรื่องอะไรบ้างของ HR ที่เปลี่ยนแปลงไป
ครั้งนี้ SEAC จึงดึงออกมา 8 ประเด็นหลักของงาน HR ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง และเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องปรับ และพัฒนา โดยแบ่งเส้นทางการเรียนรู้เป็น 8 เรื่อง หรือ 8 Critical Themes ดังนี้
- ปรับบทบาทผู้นำเป็น People Leader เน้นพาคนก้าวไปพร้อมกันแทนการสั่งการ (Reframing the People Leader Role) ประเด็นที่สำคัญคือ ยุคสมัยนี้เราบริหารจัดการคน หรือ Human Resource ไม่ได้ เพราะถือเป็นแนวคิดแบบเก่า (Old Paradigm) ในรูปแบบการออกคำสั่งกับผู้ใต้บังคับบัญชา ดังนั้น บทบาทผู้นำจึงต้องเปลี่ยนมาที่คำว่า People Leader ที่จะทำหน้าที่พาคนไปอย่างไร จะชี้ชวนคนในองค์กรไปด้วยวิธีการแบบไหน และไปอย่างไร
- พลิกโฉม HR จุดเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงองค์กร (Reframing HR as Drivers of Change and Organization Transformation) ผู้นำและ HR Leader ควรเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ต้องเริ่ม Transform เพื่อเป็นสารตั้งต้นในการพลิกโฉมบุคลากรและผลักดันให้ Digital Transformation เกิดขึ้นทั่วทั้งองค์กรได้สำเร็จ
- ปรับบทบาทใหม่ HR ให้ทันโลกยุค AI (Reframing HR in the AI Age) การเกิดขึ้นของ AI จะรุนแรง และสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อการใช้ชีวิตและการทำงานกว่าอินเตอร์เน็ตหลายเท่าตัว ผู้บริหาร และ HR Leader จึงต้องหาวิธีให้คนในองค์กรสามารถทำงานร่วมกับ AI ให้ได้ เพราะเป็นที่พิสูจน์แล้วว่า ประเทศไหน หรือองค์กรไหนที่นำ AI มาใช้คู่กับการทำงานจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีกว่าการไม่ใช้ AI ทั้งความเร็ว ผลที่จะเกิด ประสิทธิผล และประสิทธิภาพ
- บริหารบุคลากรหลากหลายช่วงวัย (Reframing People Management and HR Operations for Workforce NEXT) วันนี้ผู้นำต้องมาปรับภาพการบริหารคนใหม่ เพราะในองค์กรประกอบด้วยคนหลากหลายรุ่น หรือ Multi-Generational Workforce ฝ่าย HR จึงต้องมาหาแนวทางการจัดการให้คนทุกวัยสามารถทำงานร่วมกันได้
- พลิกบทบาทของ HR ในการจัดการกับ “Gig Workforce” (Reframing HR’s Role in the Gig Workforce Age) ปัจจุบัน Gigs Workforce กำลังจะเข้ามามีความสำคัญเทียบเท่ากับพนักงานประจำ ดังนั้น ผู้บริหาร และ HR Leader จึงต้องมีแผนบริหารคนทั้ง 2 กลุ่มไปพร้อมกัน ที่สำคัญคือการมี Career Path ให้ Gigs ทั้งการขึ้นเงินเดือน และการให้รางวัล เพื่อโอบรับคนเหล่านี้ให้ได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง และตอบโจทย์ความต้องการ
- ยกระดับประสบการณ์การทำงานของบุคลากร (Reframing Total Employee Experience) วันนี้พนักงานไม่ได้สนใจแค่ว่า ได้เงินเดือนเท่าไหร่ หรือกำลังทำงานอย่างไร แต่สนใจว่ากำลังมีประสบการณ์อย่างไร กับการทำงาน หากองค์กรสามารถสร้างประสบการณ์การทำงานตามความคาดหวังของพนักงานได้ ก็จะถือเป็นการสร้างแรงกระตุ้นในการทำงาน และทำให้พนักงานเลือกที่จะอยู่กับองค์กรต่อไป
- การค้นหา พัฒนา และรักษาบุคลากรที่มีความสามารถ (Talent) ในนิยามใหม่ (Reframing Getting, Developing, and Keeping Talent) การเกิดขึ้นของ AI ทำให้หลายประเทศและหลายองค์กรต้องหันกลับมาทบทวนนิยามใหม่ของคำว่า “คนเก่ง” ในยุคนี้ว่าหมายความว่าอะไร เพราะคนที่เคยเก่งในอดีตอาจจะไม่ได้เก่งอีกต่อไป ทั้งนี้ เพื่อวางแผนการหาคนเก่ง และสร้างคนเก่งที่ตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย รวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้คนเก่งยังคงทำงานให้กับองค์กรต่อไป
- เปลี่ยนเลนส์มองโลกการบริหารทรัพยากรบุคคล และสร้างแผนการจัดการองค์กรแบบใหม่ (Reframing People and Workforce Capability Development) การเปลี่ยนวิธีบริหารจัดการและพัฒนาคนสู่ภาพใหม่ เป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง ผ่านการทำ Conversation Mapping บทสนทนาชวนคิด และแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากการนำสิ่งที่เรียนไปลงมือปฏิบัติ แลกเปลี่ยนระดมความคิด จนเกิดเป็นแผนบริหารจัดการบุคลากรภาพรวมทั้งหมด ที่เหมาะสมกับบริบทขององค์กรตัวเอง เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่นำไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน
“รายได้ของประเทศไทยผูกไว้กับธุรกิจภาคเอกชนจำนวนมาก เมื่อโลกเปลี่ยน การทำให้ภาคเอกชนสามารถพัฒนาตนเองเพื่อตอบรับเทรนด์ใหม่ๆ ที่จะเข้ามามีผลกระทบต่อการทำงานได้นั้น จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในอีก 1 – 2 ปีข้างหน้าให้ดีขึ้นได้อย่างสวยงาม และจะมีผลประโยชน์เกื้อกูลกันระหว่างประเทศและบริษัทต่างๆ ผู้นำองค์กรจึงควรให้ความสำคัญกับการ Reframe เปลี่ยนเลนส์ที่ใช้มองการบริหารให้เท่าทันยุคสมัยขึ้น เร่งการเติบโตให้เกิดขึ้นจริง ผ่านการใช้ข้อมูล และทักษะต่างๆ ไปปรับใช้พัฒนาองค์กรของตัวเองอย่างฉับไว โดยวิธีการคิดใหม่ต้องมาจากผู้นำองค์กร นั่นคือ เจ้าของกิจการ ผู้บริหาร และ Top HR ที่จะทำให้การเปลี่ยนแปลงในองค์กรเกิดขึ้นได้จริงอย่างยั่งยืน”
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา