Elon Musk บอก จะนอนค้างที่ออฟฟิศ Twitter ทุกวัน จนกว่าจะเปลี่ยนแปลงองค์กรได้

“ไม่ทุ่มเทอย่างหนัก ไม่มีทางสำเร็จ” น่าจะเป็นหลักการในการทำงานของ Elon Musk

Elon Musk
(Photo by Dimitrios Kambouris/Getty Images for The Met Museum/Vogue)

Elon Musk ขึ้นชื่อเรื่องการเป็นบอสที่อึด ถึก ทน แน่นอนว่าถ้าบอสมีบุคลิกแบบนี้ ก็ย่อมต้องการให้พนักงานเป็นแบบเดียวกัน เราจะเห็นมัสก์พูดถึงการทุ่มเททำงานอย่างหนักบ่อยพอๆ กับที่เขาชอบออกมาทวีตข้อความปั่นประสาทผู้คนอยู่เสมอๆ ก่อนหน้านี้ก็ออกมาชื่นชมคนจีนต่อให้ทำงานยันตี 3 ก็ทำได้ ไม่เหมือนชาวอเมริกันที่ชอบเลี่ยงงาน

หลังเขาได้ครอบครองอาณาจักรแห่งทวิตเตอร์ 4.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ภายใน 2 สัปดาห์เขาปลดพนักงานออกครึ่งหนึ่งแถมยังเตรียมกลับไปจ้างใหม่ จากนั้น เขายังยกเลิกนโยบาย Work from Home และยังเมล์บอกพนักงานให้ทำงานอย่างน้อยสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง แน่นอนว่า เขาคาดหวังมากกว่านั้น ก่อนหน้านี้ Bloomberg เพิ่งจะรายงานว่ามัสก์ต้องการให้พนักงานทำงานยาวนานกว่า 80 ชั่วโมงต่อสัปดาห์หรือวันละ 12 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์

ล่าสุด เขายังทวีตข้อความเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า เขาจะทำงานและนอนที่สำนักงานใหญ่ของทวิตเตอร์ที่ตั้งอยู่ที่ซานฟรานซิสโก ไปจนกว่าองค์กรจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสำเร็จ วานก่อน เขาก็ทวีตข้อความขอโทษที่ทวิตเตอร์น่าจะใช้งานได้ช้ามากในหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะระบบของแอนดรอยด์ มัสก์ไม่ได้เพิ่งคิดจะนอนค้างที่ทำงานเป็นครั้งแรก สมัยบุกเบิก Tesla เขาก็นอนค้างที่โรงงานเช่นกัน เขาบอกว่าเขาต้องการทำให้เห็นว่าเขาทุ่มเททำงานอย่างหนัก

ก่อนหน้านี้ เขานอนที่โรงงานผลิตรถยนต์ Tesla ทั้งที่ Fremont และ Nevada นอนค้างอย่างนั้นยาวนาน 3 ปีติดต่อกัน เขาบอกว่านั่นคือที่พักหลักๆ ของเขาเลย อย่างที่เขาเคยให้สัมภาษณ์ไปแล้วก่อนหน้านี้ว่า เขาไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง อาศัยนอนบ้านเพื่อนและที่ทำงานไปเรื่อยๆ

ที่นอนที่เขาว่าก็คือออฟฟิศที่เขาทำงานอยู่นั่นเอง มัสก์บอก เขาเคยนอนที่โซฟาของโรงงาน จากกนั้นก็ย้ายไปนอนที่พื้นใต้โต๊ะทำงานของเขา เขาบอกว่ามันโคตรลำบากและก็มีกลิ่นเหมือนฝุ่น แต่ที่เขาทำอย่างนี้ก็เพราะต้องการให้พนักงานเห็นว่าเขาจริงจังกับงาน ที่เขานอนที่อออฟฟิศเพื่อทำให้เห็นว่าเขาทุ่มเททุกอย่างแล้ว เขาต้องการทำให้สภาพแวดล้อมของเขาดูแย่กว่าทุกๆ คนในบริษัท เมื่อใดที่ผู้คนรู้สึกเจ็บปวด เขาก็อยากให้เห็นว่าเขาอยู่ในสถานการณ์ที่แย่กว่านั้น

ที่มา – Business Insider (1), (2), Bloomberg

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา