ยุคนี้การช้อปปิ้งจะไม่ใช่แค่ Cashless แต่ต้องเป็น Seamless ที่เชื่อมต่อทุกสิ่งอย่างแบบไร้รอยต่อ ทำให้เกิดดีลใหม่แห่งวงการค้าปลีกอย่าง ”เดอะมอลล์ กรุ๊ป” ที่รวมกับดิจิทัลแบงก์กิ้งอย่าง “SCB” ออก SCB M เป็นบัตร Co-Branded ที่ครอบคลุมบัตรเครดิต เดบิต พรีเพด และกิ๊ฟท์การ์ด
การเดินเกมบัตร Co-Branded ของเดอะมอลล์
ขึ้นชื่อว่าอยู่ในธุรกิจค้าปลีกย่อมต้องมีพันธมิตรในวงการการเงินธนาคารอยู่แล้ว ซึ่ง “เดอะมอลล์ กรุ๊ป” ได้มีกลยุทธ์การออกบัตรเครดิตแบบ Co-Branded มาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว เป็นที่รู้จักกันดีกับการร่วมมือกับ Citi Bank ออกบัตร Citi M โดยที่จะมีสิทธิประโยชน์ต่างๆ เมื่อช้อปปิ้งภายในเครือเดอะมอลล์ กรุ๊ป
แต่เส้นทางที่เดินร่วมกันมา 10 ปีก็ได้หมดสัญญาลง ทางเดอะมอลล์จึงทำการหาพาร์ทเนอร์ใหม่ได้ปิดดีลกับทาง SCB ซึ่งทาง SCB เองก็รุกหนักในการขยายพาร์ทเนอร์ในธุรกิจต่างๆการจับมือกับค้าปลีกอย่างเดอะมอลล์จึงเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญ
การร่วมมือกันครั้งนี้ได้ทำการออกบัตร Co-Branded ใหม่ในชื่อ SCB M จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ทั้ง 2 แบรนด์ได้เคยร่วมมือกันในการชำระเงินผ่าน QR Payment ในกูร์เมต์ มาร์เก็ตเมื่อปลายปี 2017 ที่ผ่านมา ครั้งล่าสุดนี้จึงเป็นการขยายผลความร่วมมือให้ใหญ่มากขึ้น จาก Cashless สู่ Seamless
ถ้าถามถึงเบื้องหลังของดีลนี้บิ๊กบอส “ศุภลักษณ์ อัมพุช” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ได้เล่าว่า
“เดอะมอลล์มีบัตร Co-Branded มา 10 ปีแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องสร้าง New Era ใหม่ จริงๆ ก็มีหลายแบงค์เข้ามาพูดคุย แต่ที่เลือก SCB เพราะคำพูดว่า ‘ไปกันสุดซอย’ เหมือนไปไหนไปกันให้สุด และได้เห็นว่า SCB มีการพัฒนาเทคโนโลยีตลอด เหมือนกับตอนนี้ที่วงการค้าปลีกทุกคนตื่นตัวกับเทรนด์หลายๆ อย่าง การร่วมมือกันครั้งนี้ระหว่างธนาคารกับค้าปลีก ช่วยสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้ง ที่มี Cashless ไปแล้ว ถึงเวลาสร้าง Seamless และ O2O”
อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้เดอะมอลล์จับมือกับ SCB ก็เพื่อต้องการขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นด้วย เพราะแต่เดิมที่เป็น Citi M ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าต่างชาติ แต่บัตร Citi M ก็ยังมีการจัดโปรโมชั่นเป็นครั้งคราวไป ทั้ง 2 ใบมีจุดแข็งที่ต่างกัน Citi M ลูกค้าต่างชาติเยอะ แต่ SCB ได้ฐานลูกค้าทั่วประเทศ
สร้าง Ecosystem การช้อปปิ้ง และชำระเงินยุดดิจิทัล
ความร่วมมือระหว่าง SCB และ เดอะมอลล์ กรุ๊ป จะสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งรูปแบบใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “eMperience” ครอบคลุม 4 เรื่องหลัก ได้แก่
1. บัตร Co-Branded “SCB M VISA”
- บัตรเครดิต SCB M VISA ประกอบด้วย 3 กลุ่ม ได้แก่ บัตรเครดิต SCB M LIVE VISA PLATINUM CREDIT CARD สำหรับผู้ที่มีรายได้ 15,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป, บัตรเครดิต SCB M LUXE VISA SIGNATURE CREDIT CARD สำหรับผู้ที่มีรายได้ 100,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป และบัตรเครดิต SCB M LEGEND VISA INFINITE CREDIT CARD สำหรับลูกค้าที่ได้รับการเรียนเชิญให้สมัครบัตรเท่านั้น
- บัตรเดบิต SCB M VISA มีนวัตกรรมบัตรเดบิตแบบ Contactless
- บัตรพรีเพด SCB M VISA สามารถใช้จ่ายผ่านบัตรได้ทั้งภายในและภายนอกห้าง เหมาะสำหรับกลุ่มเด็กนักเรียนหรือนักศึกษา และชาวต่างชาติ สมัครได้ทั้งในห้างและ SCB Exchange Booth
2. Payment Services
- ช้อปปิ้งด้วยบัตรเครดิต SCB M บนมือถือ สแกน QR และชำระผ่านบัตรเครดิต SCB M VISA ในรูปแบบของ Virtual Card ผ่านแอปพลิเคชัน SCB EASY
- E-commerce Platform and Payment Gateway แพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ และช่องทางการรับชำระผ่านอิเล็กทรอนิกส์
- SMART EDC เครื่องรับบัตรอัจฉริยะที่ให้แคชเชียร์ให้บริการได้อย่างรวดเร็ว สามารถรองรับการใช้งานต่างๆ เช่น บัตรเครดิต บัตรเดบิต AliPay WeChatPay ตรวจสอบและแลกคะแนน M Point และเติมเงินบัตรพรีเพด เป็นต้น
3. Banking Agent Services
- บริการประกันครั้งแรกในวงการค้าปลีก ด้วยบริการด้านประกัน อาทิ ประกันการเดินทาง, ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล, ประกันสุขภาพ, ประกันรถยนต์ และการขยายระยะเวลารับประกันผลิตภัณฑ์ (Extended Warranty)
- บริการบัตรกดเงินสด และสินเชื่อส่วนบุคคล
- Bill Payment บริการรับชำระค่าบริการ อำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าในการจ่ายบิลค่าสาธารณูปโภคได้ในครั้งเดียว
4. บริการอื่นๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวก
- I-RESERVED PARKING การจองที่จอดรถภายในห้าง เป็นบริการพิเศษสำหรับผู้ถือบัตรเครดิต SCB M LEGEND VISA INFINITE และ SCB M LUXE VISA SIGNATURE
- CHATBOT ผ่าน LINE THE MALL GROUP ผู้ช่วยในการตอบคำถาม และช่องทางในการสั่งซื้อสินค้า
- Indoor Navigation เครื่องมือนำทางภายในศูนย์การค้า เพื่อความสะดวกในการค้นหาร้านค้า
ในหนึ่งปีต้องมี 5 แสนใบ
ปัจจุบันเดอะมอลล์ กรุ๊ป มีทราฟิกลูกค้าหมุนเวียนทุกสาขารวม 400 ล้านคนต่อปี โดย 70% ของยอดขายในห้างฯ มาจากสมาชิก M card ซึ่งมีสมาชิกทั้งสิ้น 4 ล้านคน และลูกค้ากว่า 55 % ชำระผ่าน Electronic Payment อาทิ บัตรเครดิต บัตรเดบิต QR เป็นต้น อีก 45% ใช้จ่ายด้วยเงินสด
ภายในปีแรกได้ตั้งเป้ายอดสมัครบัตรเครดิตและบัตรเดบิต SCB M VISA จำนวน 500,000 ใบ และคาดการณ์มียอดใช้จ่ายผ่านบัตรมากกว่า 20,000 ล้านบาท
สรุป
ไม่ว่าจะธุรกิจไหนจำเป็นต้องมีพาร์ทเนอร์ให้ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคจริงๆ ซึ่งตอนนี้เรื่องดิจิทัลได้เข้าไปสู่ทุกๆ ธุรกิจแล้ว การที่ค้าปลีก กับธนาคารจะรับมือจากการถูก Disrupt ได้ ก็ต้องนำดิจิทัลเข้าหาผู้บริโภค สร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ที่โลกดิจิทัลมอบให้ไม่ได้ ถึงจะเป็นผู้อยู่รอด
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา