Gen Y เมกาโดนอีกแล้ว อยากหย่า แต่ไม่กล้า กลัวหมดตัว-โอกาสหาย-ชีวิตเปลี่ยน

กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง

Divorce

เราขอมอบเพลงนี้ให้กับชาว Gen Y ที่กำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนในชีวิตคู่ เพราะล่าสุด มีรายงานว่า เหล่ามิลเลนเนียลกำลังประสบปัญหาทางการเงิน เนื่องจากหย่าร้างกับคู่สมรส จนหลายๆ คนเปลี่ยนใจ คิดเสียว่า ยอมทนไปก่อนก็ได้ ดีกว่าต้องมาเสียเงิน เสียเวลา 

คุณอาจสงสัยว่า การหย่ากันมันหนักหนาสาหัสสำหรับ Gen Y ขนาดนั้นเลยหรือ คนรุ่นไหนๆ ก็ต้องเจอปัญหาเพราะหย่าร้างหรือเปล่า?

คำตอบคือใช่ เพราะเอาจริงๆ อัตราการแต่งงานและหย่าร้างของ Baby Boomer สมัยที่พวกเขาอายุ 29-44 ปีนั้นสูงกว่า Gen Y ตอนนี้ด้วยซ้ำ

แต่เชื่อหรือไม่  ‘American Journal of Sociology’ พบว่า สมัยนั้นเวลา Baby Boomer หย่ากัน พวกเขายังเหลือสินทรัพย์และเงินเก็บเยอะกว่า แถมหนี้ก็น้อย การงานมั่นคง และเงินเดือนยังดีกว่า Gen Y ยุคนี้ด้วย

Gen Y ประสบภัยจากการหย่าร้างมากขนาดไหน มาดูกัน

หย่าร้างที เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา แถมโอกาสการทำงานยังหลุดลอยไปอีก

‘Jasmine Bloemhof’ คือตัวอย่างของชาวมิลเลนเนียลที่ต้องเจอกับปัญหาเรื่องเงินๆ ทองๆ เพียงเพราะหย่าร้างกับสามี

Bloemhof เล่าว่า เธอแต่งงานตอนอายุ 23 ปี ซึ่งขณะนั้นตนกำลังเพิ่งเริ่มอาชีพในแวดวงงานประชาสัมพันธ์เลย

เวลาล่วงเลยไป 8 ปี Bloemhof ในวัย 31 ปี กลายเป็นแม่บ้านอยู่บ้านเฉยๆ เลี้ยงลูกเล็ก 2 คน พร้อมกับหนี้กยศ. กว่า 1 ล้านบาท หรือถ้าพูดง่ายๆ เลยคือ เธอไม่มีเงินเก็บสักกะนิด

Bloemhof เผยว่า หนึ่งสัปดาห์ก่อนทำเรื่องหย่าร้าง เธอเพิ่งตอบรับเข้าทำงานเป็น PR ให้บริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนอยากทำมากๆ แต่พอเอเจนซีรู้เรื่องนี้เข้า พวกเขาก็กลัวว่าเธอจะไม่สามารถทำงานได้ เพราะนอกจากต้องรับมือกับลูกค้าแล้ว ยังต้องเผชิญกับกระบวนการหย่าไปพร้อมๆ กับเลี้ยงลูกเล็กสองคนอีก ส่งผลให้องค์กรเปลี่ยนใจไม่รับ Bloemhof เข้าทำงาน

หลังจากนั้น Bloemhof ก็ยอมรับว่า ตนหางานที่มั่นคงในแวดวง PR ทำต่อยากมากๆ แถมยังต้องมานั่งรอศาลตัดสินค่าเลี้ยงดูบุตรอีก 

นอกจากนี้ Bloemhof ยังสูญเสียอีกมากมายจากการหย่าร้าง เช่น

  • เป็นหนี้บัตรเครดิต
  • ขายของมีค่าในบ้าน 
  • ยืมรถยนต์พ่อแม่ใช้
  • เสียค่าทนายการหย่าร้างราวๆ 3.3 ล้านบาท
  • ขายบ้านที่ร่วมสร้างกับสามี ได้คนละ 2.3 ล้านบาท แต่ก็เอาไปจ่ายค่าทนายหมด
  • เสียเวลาและโอกาสในการทำงาน เพราะต้องขึ้นศาล

ยังไม่พอ Bloemhof เผยว่า ในสมัยที่ยังคบกันอยู่ ยังไม่มีลูก และตนยังมีงานประจำทำ เธอและสามีสามารถเคลมภาษีคืนได้มากถึงเกือบๆ 5 ล้านบาทเลย แต่หลังจากหย่าร้างได้ 1 ปี Bloemhof ขอภาษีคืนได้แค่ 3 แสนกว่าบาท

สินทรัพย์หายไปครึ่งหนึ่ง แต่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเท่าตัว

ภาพจาก Shutterstock

ไม่ใช่แค่ Bloemhof คนเดียวที่ประสบภัยหลังหย่าร้าง แต่ยังมี Gen Y อีกมาก ที่ต้องเสียเงินเป็นล้านๆ เพราะแค่อยากเลิกกับอดีตคนรัก

นักไกล่เกลี่ยและทนายความครอบครัวในสหรัฐฯ คนหนึ่งเผยว่า “เวลาคนหย่ากัน ความมั่งคั่งสุทธิจะหายไปครึ่งหนึ่ง และส่งผลกระทบกับเงินเก็บของพวกเขาอย่างมาก แต่ที่หนักกว่านั้นคือ ค่าใช้จ่ายดันเพิ่มขึ้นเท่าตัว พวกเขาจะสามารถอาศัยในเมืองเดิมได้ไหม? พวกเขาจะมีเงินพอให้ใช้ชีวิตแบบเดิมไหม? จากหลายๆ เคส คำตอบคือ ไม่”

‘Hugh Morris’ แชร์ประสบการณ์ตอนหย่ากับภรรยาว่า เขาน่าจะเสียเงินไปราวๆ 7.56-9.86 ล้านบาทเลย

Morris เป็นคนเดียวในครอบครัวที่มีรายได้ ส่งผลให้เขาต้องเป็นคนจ่ายค่าธรรมเนียมทางกฎหมายให้กับตนเองและอดีตภรรยา รวมถึงดูแลทุกค่าใช้จ่ายในบ้าน รับภาระหนี้บัตรเครดิต แถมต้องยอมขายบ้านในราคาที่ต่ำกว่าทุนด้วย

“ผมต้องเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ ซื้อบ้านที่ถูกลง ไม่ออกไปกินข้าวนอกบ้านบ่อยๆ ส่วนความมั่งคั่งสุทธิของผมกำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟูอยู่” Morris กล่าว

สภาพสังคมมันเปลี่ยนไปแล้ว จะชายหรือหญิง ต้องพึ่งตัวเองได้

ในสมัยนี้ หากคุณอยากเลิกกับสามีหรือภรรยา แต่ไม่มีรายได้เลย ก็ควรรู้หน่อยว่า กระบวนการหย่าร้างตั้งแต่ต้นจนจบนั้น อาจไม่ใจดีกับคุณเท่าไร

‘Business Insider’ อธิบายว่า สาเหตุที่ Gen Y ต้องจ่ายเงินค่าหย่าร้างมากกว่าคนรุ่นก่อน ก็มาจากสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป

ปัจจุบัน ชายหญิงเริ่มมีความเท่าเทียมกันมากขึ้น สามารถออกไปหางานทำได้ทั้งสองฝ่าย ซึ่งเอาจริงๆ ก็เป็นเรื่องที่ดี แต่กลายเป็นว่า มันทำให้ศาลเห็นใจน้อยลง จนค่าใช้จ่ายในการเลิกราสูงขึ้น และสุดท้าย คนที่สูญเสียมากที่สุดยังเป็นผู้หญิงอยู่บ่อยครั้ง

จากผลสำรวจในปี 2009-2015 ส่วนใหญ่แล้ว ผู้หญิงจะเป็นคนขอหย่าเองในความสัมพันธ์แบบชายหญิง แต่พวกเธอจำนวนไม่น้อยมีอำนาจทางการเงินต่ำกว่าฝ่ายชาย ส่งผลให้อาจเสียเปรียบได้

ด้วยเหตุนี้ ศึกการแย่งชิงบุตร รวมถึงการแบ่งสินทรัพย์ร่วม จึงเป็นเรื่องที่สาหัสมากๆ เพราะหลายๆ ครั้ง ศาลก็คาดหวังไปเองว่า ทั้งชายและหญิงต้องสามารถหาเลี้ยงดูตนเองได้ โดยไม่พึ่งพาคนอื่นแล้ว 

จากความเชื่อนี้ ค่าเลี้ยงดูบุตรที่ศาลสั่งในปี 2021 จึงน้อยกว่าเมื่อ 40 ปีที่แล้วหรือ 1981 ถึง 15% 

หญิงสาววัย 40 ปีคนหนึ่งก็บอกว่า ในอดีต เธอคือแม่บ้านลูกสอง แต่เมื่อหางานประจำทำได้ เธอจึงกล้าขอหย่ากับสามี โดยยอมรับตรงๆว่า ถ้าวันนั้น ไม่มีงานทำ เธอคงยังคบกับสามีอยู่จนถึงวันนี้

จะให้รอหย่าตอนมีเงินคงไม่ไหว

เอาจริงๆ ถ้าเลือกได้ คงไม่มีใครอยากหย่าแบบไม่มีรายได้เป็นของตนเองสักบาท แต่บริษัทกฎหมายแห่งหนึ่งบอกว่า เป็นเรื่องปกติมาก ที่คนแต่งงานแล้ว จะลาออกจากงาน ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง เช่น ต้องดูแลครอบครัว หรือมีปัญหาสุขภาพ

ทางบริษัทกฎหมายมองว่า เมื่อตัดสินใจลาออก เขาคนนั้นจะต้องตกอยู่ในภาวะพึ่งพาทางการเงินกับอีกฝ่ายทันที ซึ่งต้องยอมรับด้วยว่า สมัยนี้ ศาลไม่ได้เห็นใจคนไม่มีรายได้เท่าเมื่อก่อนอีกแล้ว

‘Piper’ (นามสมมุติ) คือตัวอย่างของคนที่ไม่มีรายได้เลย แต่ต้องการหย่าจริงๆ เนื่องจากสามีมีพฤติกรรมชอบความรุนแรง ดื่มเหล้า และติดพนัน

ตลอดระยะเวลาที่คบกัน สามีของ Piper เป็นเสาหลักของครอบครัว เนื่องจากเธอไม่สามารถหางานทำได้ เพราะมีอาการป่วยทางจิต 

แต่เมื่อเลิกกันแล้ว ที่พึ่งพาทางการเงินของ Piper กับลูกๆ ก็เหลือแค่เงินผู้พิการจากรัฐบาล และพ่อแม่ของเธอ รวมถึงพ่อแม่อดีตสามีเท่านั้น

เป็นเรื่องน่าเศร้า เมื่อการที่คนสองคนอยากเลิกกัน ต้องเสียอะไรไปมากมายขนาดนี้ แต่ทาง Business Insider เองก็บอกว่า แม้จะต้องสูญเงินไปเยอะแค่ไหน ทุกคนที่องค์กรไปคุยด้วยให้สัมภาษณ์ว่า ไม่รู้สึกเสียดายเลย ที่ได้หย่าร้าง

แล้วถ้าเป็นคุณล่ะ จะเลือกหย่า เพื่อสุขภาพจิตที่ดีกว่า หรือยอมทนอยู่กับคนที่ไม่ได้รัก เพื่อเซฟเงินทองไว้? 

ที่มา: Business Insider

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา