กระทรวงท่องเที่ยวฯ สู้ต่อ อยากให้ 2025-2026 เป็นปีทอง พร้อมดันซอฟต์พาวเวอร์ทุกมิติ

โปรดมาเที่ยวที่เมืองของฉัน

thailand

ลองคิดดูสิ จะมีอุตสาหกรรมไหน เข้าถึงซิกเนเจอร์ เลเยอร์ คัสตอม ของไทยไปได้ดีกว่า ‘การท่องเที่ยว’

ไม่ว่าจะอาหาร มวยไทย ภาพยนตร์ การแพทย์ อัญมณี หรือเอกลักษณ์ใดๆ ของไทย ล้วนเชื่อมโยงเข้ากับการท่องเที่ยวหมด เพราะต่างชาติก็มาเยี่ยมบ้านเราด้วยเหตุนี้ไม่ใช่เหรอ

อย่างไรก็ตาม เป็นที่ทราบกันดีว่า ปีนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติในไทยกลับลดลงอย่างน่าใจหาย ซึ่งทำให้ภาคส่วนอื่นๆ พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย 

Brand Inside มีโอกาสเข้าฟังมุมมองของ ‘สรวงศ์ เทียนทอง’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ภายในงาน ‘SPLASH – Soft Power Forum’ จัดโดย ‘THACCA’ (Thailand Creative Culture Agency) 

ในฐานะหัวเรือของการท่องเที่ยวไทย เขาจะมีความเห็นหรือแนวทางอย่างไร มาดูกัน

ตั้งใจให้เป็นปีทองของการท่องเที่ยว จะพยายามอย่างดีที่สุด

Thailand

สรวงศ์เล่าว่า เดิมที กระทรวงฯ ตั้งให้ปี 2025-2026 เป็นปีทองของการท่องเที่ยว ที่มาพร้อมคอนเซปต์ ‘Grand Tourism and Sports Year’ ซึ่งประกอบไปด้วย

  1. Grand Festivity: จัดกิจกรรมใหญ่ตลอดทั้งปี เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว
  2. Grand Moment: นำเสนอประสบการณ์ท่องเที่ยวมิติใหม่ที่จะเติมเต็มความสุข สร้างคุณค่า และความหมายแก่ชีวิต
  3. Grand Privilege: ส่งมอบประสบการณ์ท่องเที่ยวเหนือระดับ รวมสิทธิประโยชน์ แพ็กเกจ และโปรโมชันให้นักท่องเที่ยว
  4. Grand Invitation: เชิญบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับโลกมาร่วมสร้าง Grand Moment
  5. Grand Celebration: การเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย

เอาจริงๆ หากมองในมุมสรวงศ์ ก็พอเข้าใจได้ว่า ทำไมเขาถึงตั้งปีนี้เป็นปีทองของการท่องเที่ยว เพราะนอกจากสถานการณ์ปี 2024 จะดีขึ้นแล้ว ในปี 2025 เรายังเป็นเจ้าภาพให้งานระดับโลกมากมายด้วย

แต่มันก็ไม่เป็นดั่งที่สรวงศ์หวัง เพราะเมื่อต้นปี ไทยประสบภัยแผ่นดินไหว แถมสงครามในตะวันออกกลางยังทำให้ต้องลดเป้า ‘นักท่องเที่ยวอิสราเอล’ จาก 80% เหลือ 40-50% อีก

ทั้งนี้ สรวงศ์ยังอยากให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวในไทยกลับไปเทียบเท่าช่วงก่อนโควิด หรือประมาณ 40 ล้านคน พร้อมรายได้ 3.5 ล้านล้านบาทอยู่ดี

“ทุกภาคส่วนพยายามจะทำอย่างเต็มที่ให้มันได้จุดนี้ แต่ถ้ามันไม่ได้จริงๆ เราจะทำให้ดีที่สุด” สรวงศ์กล่าว

ขอความร่วมมือคนไทยเลิกดิสเครดิตกันเอง

ปฏิเสธไม่ได้ว่า เหตุผลหนึ่งที่ต่างชาติเดินทางเข้าไทยน้อยลงเป็นเพราะกังวลเรื่อง ‘ความปลอดภัย’ โดยเฉพาะในสายตาของ ‘นักท่องเที่ยวจีน

จากผลสำรวจโดย ‘Dragon Trail International’ พบว่า นักท่องเที่ยวจีนเกินครึ่งมองประเทศไทยไม่ปลอดภัย ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจากปลายปี 2024 ราวๆ 13%

แม้นักท่องเที่ยวจะขาดความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของไทย แต่สรวงศ์มองว่า ประเทศไทยปลอดภัยมาก

“ใครที่เคยเดินทางทั่วโลก แล้วกลับมามองบ้านเรา ถ้าพูดกันตรงๆ เลย ประเทศไทยโคตรปลอดภัย แต่ว่าด้วยทั้งหมดทั้งมวล ต้องบอกว่า เราเป็นเป้าที่ถูกโจมตี เพราะต้องยอมรับว่านักท่องเที่ยวก็ไหลเข้ามาประเทศเราเยอะมาก ปีที่แล้วเกือบเท่ากับก่อนโควิด”

ปัจจุบัน ไทยมีตำรวจท่องเที่ยวราวๆ 1,800 นาย แต่ได้แรงช่วยเหลือจากตำรวจภูธร ตำรวจนครบาล และเจ้าหน้าที่ต่างๆ ตลอดจนวิสัยทัศน์ของผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยวที่จะนำ AI มาเป็นกำลังเสริมด้วย

ดังนั้น สรวงศ์มั่นใจว่า จุดไหนที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวและมีรถโมบายล์ของตำรวจท่องเที่ยว ไม่ว่าจะมีโจรขโมย ลูกหาย หรือพลัดหลง AI สามารถสั่งได้หมด ผ่านการป้อนข้อมูลและติดตาม ตำรวจก็จะเข้าไปชาร์จทันที

สิ่งที่เขากังวลคือการที่ ‘ไทยทำร้ายกันเอง’ มากกว่า​ โดยยกตัวอย่างว่า ครั้งหนึ่ง สำนักข่าวระดับโลกเคยจัดอันดับให้ ‘เชียงใหม่’ เป็นหนึ่งในเมืองที่ปลอดภัยที่สุดในการท่องเที่ยวคนเดียว แต่เมื่อเข้าไปอ่านคอมเมนต์ กลับเจอแต่คนไทยที่เข้ามาดิสเครดิตกันเองในโพสต์

เล็งเก็บค่าธรรมเนียมความยั่งยืน และต้องหัดต่อรองต่างชาติบ้าง

the white lotus

ขณะเดียวกัน สรวงศ์เผยว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬายังต้องวางแผนเรื่อง ‘ความยั่งยืน’ ด้วย

กระทรวงฯ กำลังพิจารณาว่าประเทศไทยควรมี ‘ค่าเหยียบแผ่นดิน’ (Traveling Fee) หรือไม่ โดยสรวงศ์ก็เคยเสนอไปแล้วว่าจะเก็บ 300 บาทกับนักท่องเที่ยว แต่ยังไม่ได้แจกแจงรายละเอียดว่าเงินก้อนนั้นจะถูกนำไปใช้เพื่ออะไรบ้าง

สรวงศ์มองว่า ค่าเหยียบแผ่นดินนั้นรวมถึงประกันการท่องเที่ยว (Travel Insurance) ด้วย หรือจะเรียกว่าเป็น ‘Sustainability Fee’ ก็ได้ เพราะหากต่างชาติเข้ามาใช้ทรัพยากรในไทย เราก็ควรมีงบไว้ดูแลรักษาทรัพยากรส่วนนี้ไปให้ถึงอนาคต

“เดินทางไปภูฏาน ภูฏานเก็บ Sustainability Fee นักท่องเที่ยวต่อวันต่อคน 100 ดอลลาร์สหรัฐ เยอะมากนะครับ นี่คือสิ่งที่ไม่ใช่ประเทศเราคิดอย่างเดียว ประเทศอื่นเขาเริ่มเก็บกันแล้ว ญี่ปุ่นเก็บ Sayonara Tax” สรวงศ์ยกตัวอย่าง

นอกจากนั้น สรวงศ์ยังมองถึงอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่มีส่วนช่วยเรื่องการท่องเที่ยวมากๆ เพราะอย่างปีนี้ การท่องเที่ยวในภาคใต้ก็มีซีรีส์ ‘The White Lotus 3’ เข้ามาหนุน และในปี 2024 มีหนังต่างประเทศเข้ามาถ่ายทำในไทยเกือบ 500 เรื่องเลย สร้างเงินให้ประเทศได้เกือบหมื่นล้านบาท

ส่วนหนึ่งที่ต่างชาติเลือกประเทศเราเป็นโลเคชันถ่ายทำ ก็เพราะไทยมีนโยบายสร้าง ‘แรงจูงใจ’ (Incentive) ให้กองถ่ายเหล่านี้ด้วย ผ่านการมอบส่วนลดในอัตราเริ่มต้นที่ 15% ไปจนถึงสูงสุดที่ 30%  ขึ้นอยู่กับว่ามีการใช้ทีมงานคนไทยไหม ถ่ายทำที่จังหวัดอะไร และปัจจัยอื่นๆ

พูดง่ายๆ คือ หากกองถ่ายต่างชาติลงทุนไป 100 ล้านบาท พวกเขาก็จะได้เงินจากรัฐไทยไปเลยมากสุด 30 ล้านบาท

ทั้งนี้ สรวงศ์เชื่อว่า ยังไงเราก็เป็นประเทศผู้ผลิต ทั้งอาหารและการท่องเที่ยว ดังนั้น ไทยควรมีสิทธิ์ต่อรองกับทีมงานภาพยนตร์ต่างชาติบ้าง เพราะสุดท้าย กระทรวงฯ จะยังเน้นความยั่งยืนในการท่องเที่ยว เพื่อให้อยู่ได้ถึงรุ่นลูกรุ่นหลานอยู่ดี

“หลังจากโควิดมา เราเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างมาก เราเรียนรู้ว่า เราจะทำงาน เรียน หรือหาหมอจากที่ไหนก็ได้ในโลกนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องไปด้วยตัวเองแน่ๆ คือ ไปเที่ยว”

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา