ประเทศที่จำนวนหมาแมวโต คือประเทศที่คนไม่อยากมีลูก ‘โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ’ เล่าเมื่อก่อนจีนโตไว ตอนนี้ไทยเอาบ้าง

“ลูกต้องมาก่อน พ่อแม่กินมาม่าได้” ประโยคนี้ไม่ได้พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกจริงๆ แต่หมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อหมาแม่แมวกับลูกๆ สี่ขาในยุคนี้ต่างหาก

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ สังคมไทยในปัจจุบัน ได้ยกระดับ ‘สัตว์เลี้ยง’ ให้เป็น ‘สมาชิกครอบครัว’ อีกคนหนึ่ง พร้อมจะทุ่มเททั้งเวลาและเงิน เพื่อให้เขามีชีวิตที่ดีที่สุด

‘สัตวแพทย์หญิงกฤติกา ชัยสุพัฒนากุล’ ประธานกรรมการบริหาร โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ เล่าให้ฟังว่า คนไทยนิยมเลี้ยงสัตว์มากขึ้น ทำให้ตอนนี้ประเทศไทยมีจำนวนหมาแมวรวมกันมากกว่า 21 ล้านตัวแล้ว แบ่งเป็นหมา 14 ล้านตัว และแมว 7 ล้านตัว

ส่งผลให้ตลาดสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยโตขึ้นอีก 7% แตะ 71,000 ล้านบาทแล้ว และคาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีมูลค่าทะลุ 123,916 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 11%

สาเหตุหลักเป็นเพราะคนไทย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ไม่อยากมีลูก และเลือกเลี้ยงสัตว์แทน ซึ่งเจ้าของสัตว์เลี้ยงยุคใหม่ นิยมเรียกตัวเองว่า ‘Pet Parents’ หรือเป็นพ่อแม่สัตว์เลี้ยง ความสัมพันธ์เปลี่ยนจากการ ‘เลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน’ ไปเป็น ‘ลูกคนหนึ่งของบ้าน’

เช่นเดียวกับ ‘สิรีรัตน์ คอวนิช’ ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต KTC ที่เสริมว่า แม้ช่วงนี้ผู้คนระวังการใช้จ่าย แต่ค่าใช้จ่ายดูแลสัตว์เลี้ยงยังโตต่อเนื่อง เห็นได้จากยอดการใช้จ่ายสินค้าและบริการ ‘หมวดสัตว์เลี้ยง’ ผ่านบัตร KTC ในครึ่งปีที่ผ่านมาโต 10%

สิ่งนี้ ‘กฤติกา’ สะท้อนว่ามาจากพฤติกรรมการใช้จ่ายที่เรียกได้ว่า “ยอมทุกอย่าง” เพราะเจ้าของเต็มใจซื้ออาหารเสริมเกรดพรีเมียม แพมเพิส รถเข็น เสื้อผ้า ไปจนถึงอุปกรณ์แต่งตัวให้สัตว์ แม้หมาแมวอาจไม่ได้สนุกกับการใส่ชุดน่ารัก แต่ก็กลายเป็นความสุขของเจ้าของที่พร้อมทุ่ม

นอกจากนี้ อายุขัยของสัตว์เลี้ยงในปัจจุบันยืนยาวกว่าสมัยก่อนมาก ‘กฤติกา’ บอกว่าจากที่เมื่อ 10-20 ปีก่อน หมาหรือแมวอายุ 8-10 ปีถือว่าแก่แล้ว แต่ปัจจุบันสัตว์เลี้ยงมีชีวิตยืนยาวขึ้นถึง 15-20 ปี

คนไทยเลือก ‘แมว’ มากขึ้น เพราะใช้จ่ายน้อยกว่า

ตลาดสัตว์เลี้ยงไทยกำลังเปลี่ยนทิศทางอย่างชัดเจน จากที่ ‘หมา’ เคยเป็น ‘พระเอก’ ในทุกครัวเรือน มาวันนี้ ‘แมว’ ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยสัดส่วนการเลี้ยงแมวเพิ่มจาก 20% เป็น 30-35% ขณะที่สุนัขลดลงจาก 80% เหลือเพียง 65-70%

หนึ่งในสาเหตุหลักมาจาก ‘ต้นทุน’ การเลี้ยงแมวที่ต่ำกว่า โดย ‘กฤติกา’ เทียบค่าใช้จ่ายเฉลี่ยการเลี้ยงแมวใช้งบประมาณเพียง 70 บาท ต่อทุก 100 บาทที่ใช้กับหมา

เจ้าของไม่จำเป็นต้องพาเดินเล่น ไม่ต้องอาบน้ำบ่อย ค่าใช้จ่ายด้านอาหารและยาก็น้อยกว่า เช่น การรักษาโรคที่แมวใช้ยาเพียง 1 กิโลกรัม ขณะที่สุนัขอาจต้องใช้มากถึง 7-9 กิโลกรัม อีกทั้งยังต้องมีค่าใช้จ่ายเสริมจากการอาบน้ำ ตัดขน หรือกิจกรรมกลางแจ้งต่างๆ

ความนิยมนี้ยังสัมพันธ์กับไลฟ์สไตล์ ‘คนเมือง’ ที่อยู่คอนโดหรือทาวน์เฮาส์ ซึ่งมีพื้นที่จำกัด ทำให้แมวเป็นคำตอบที่ลงตัวกว่าหมาที่ต้องใช้ทั้งเวลา และพื้นที่ในการดูแลมากกว่า

แต่ไม่ใช่แค่หมาแมวเท่านั้นที่สร้างการเติบโตให้ตลาด ‘กฤติกา’ บอกว่า ‘สัตว์เลี้ยงเอ็กโซติก’ (Exotic Pet) กำลังมาแรงเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นกระต่าย นก งู และอีกัวน่า

‘พูลเพิ่ม ทองเจริญพูลพร’ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ มองว่าจุดแข็งของสัตว์กลุ่มนี้คือเลี้ยงง่าย ใช้พื้นที่ไม่มาก และบางชนิดยังมีบุคลิกเฉพาะที่สร้างความผูกพันกับเจ้าของได้ ไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงหลักอย่างหมาและแมว

ธุรกิจนี้ยุคนี้ไม่ Pet-friendly ไม่ผิด แต่พลาดโอกาส

กระแสของ Pet Parents ที่มาแรงต่อเนื่อง ทำให้หลายธุรกิจปรับตัวเป็น Pet-friendly มากขึ้น อนุญาตให้เจ้าของสัตว์เลี้ยง นำลูกๆ ของตนเองเข้ามาในสถานที่ต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้า คอนโด หรือร้านอาหาร

ซึ่งธุรกิจที่ยังไม่ปรับตัวให้เป็น Pet-friendly ‘กฤติกา’ มองว่าอาจต้องเผชิญความเสี่ยงเรื่อง “โอกาสที่หายไป” เพราะวันนี้หลายคอนโดเริ่มอนุญาตให้เลี้ยงสัตว์แล้ว

แม้บางแห่งยังไม่เปิดไฟเขียวเต็มที่ แต่ในความเป็นจริงผู้เช่าหรือเจ้าของห้องก็มักเลี้ยงอยู่ดี จึงไม่แปลกที่โครงการใหม่ๆ จะใช้ ‘เลี้ยงสัตว์ได้’ เป็นจุดขายสำคัญ

คำถามที่ตามมาคือ แล้วต่อไปธุรกิจทุกประเภทจำเป็นต้อง Pet-friendly หมดหรือไม่ ‘กฤติกา’ มองว่า “ไม่เสมอไป” เพราะในมุมผู้บริโภคก็ยังมีคนที่ไม่ชอบสัตว์เลี้ยงอยู่เช่นกัน

บางคนกังวลเรื่องขนปลิวใส่อาหาร บางคนแพ้ขนสุนัขหรือแมว หรือบางคนก็แค่ไม่คุ้นเคย และไม่อยากให้มีสัตว์ในพื้นที่ที่ตัวเองใช้บริการ

อย่างไรก็ตาม เสียงของกลุ่มที่ ‘ไม่รักสัตว์’ วันนี้ดูจะเบากว่าสมัยก่อนมาก ‘กฤติกา’ ประเมินคร่าวๆ ว่าอาจมีเพียง 2-3% เท่านั้นที่แสดงออกว่าไม่ชอบ หรือถึงขั้นเกลียดสัตว์เลี้ยง ขณะที่กลุ่มใหญ่ 60-70% คือคนรักสัตว์ และอีกประมาณ 20% กว่า อยู่ในฝั่งที่ไม่ได้รักมาก แต่ก็ไม่ถึงกับต่อต้าน

สิ่งนี้สะท้อนว่ากระแสสังคมกำลังเปลี่ยนไป เมื่อคนส่วนใหญ่เลือกอยู่ข้างสัตว์เลี้ยง จึงไม่น่าแปลกที่ธุรกิจต่างๆ จะต้องหาทางปรับตัว เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหญ่ที่กำลังขยายตัวต่อเนื่อง

ประเทศที่ตลาดสัตว์เลี้ยงโต คือประเทศที่คนไม่อยากมีลูก

ถ้าพูดถึงตลาดสัตว์เลี้ยงในเอเชีย ‘จีน’ เป็นประเทศที่มีขนาดตลาดใหญ่ที่สุด เนื่องจากสังคมคนรุ่นใหม่ที่ไม่อยากมีลูก แต่หันมาเลี้ยงหมาแมวแทน ทำให้สัตว์เลี้ยงถูกมองเป็นตัวแทนของความสัมพันธ์และครอบครัว

อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตของตลาดจีนเฉลี่ยอยู่ที่ราว 3% ต่อปี แม้จะสูงเมื่อเทียบกับหลายประเทศ และเดิมทีเติบโตไวมาก แต่หากนำมาเทียบกับไทยแล้วกลับน่าสนใจยิ่งกว่า เพราะตลาดสัตว์เลี้ยงในไทยตอนนี้ มีแนวโน้มเติบโตได้มากกว่าอยู่ที่ราว 7-8%

ส่วนคุณภาพการดูแล ‘กฤติกา’ บอกว่าจีนยังขาดมาตรฐานการกำกับดูแลสัตวแพทย์ที่ชัดเจน ทำให้คุณภาพการรักษาไม่สม่ำเสมอ แม้ขนาดตลาดสัตว์เลี้ยงจะใหญ่ก็ตาม

ต่างจากประเทศไทยที่มี ‘สัตวแพทยสภา’ กำกับดูแลอย่างเข้มงวด จนทำให้ระบบบริการสัตวแพทย์ของไทยน่าเชื่อถือ และถูกมองว่าเป็นหนึ่งในจุดแข็งสำคัญ

ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนอย่าง ’เวียดนาม’ และ ‘ฟิลิปปินส์’ เพิ่งเข้าสู่ระยะเริ่มต้นของการเลี้ยงสัตว์เชิงครัวเรือน แต่ด้วยโครงสร้างสังคมที่คล้ายคลึงกัน ‘พูลเพิ่ม’ มองว่าอีกไม่เกิน 5 ปี ตลาดเหล่านี้จะพัฒนาใกล้เคียงกับไทย

จุดที่น่าสังเกตคือ ความแตกต่างด้าน ‘ทัศนคติ’ ของ ‘คนรุ่นใหม่’ ไทยและจีนมีความคล้ายกันตรงที่หลายครอบครัวเลือกไม่อยากมีลูก แต่หันมาทุ่มความรักให้สัตว์เลี้ยงแทน

ขณะที่เวียดนาม ‘กฤติกา’ อธิบายว่ายังคงมีค่านิยมเรื่องการสร้างครอบครัวและการมีลูก แม้เวียดนามจะมีประชากรเกือบ 100 ล้านคน และเศรษฐกิจกำลังเติบโตเร็ว แต่การเลี้ยงสัตว์ยังไม่ใช่วิถีชีวิตหลักของครอบครัวส่วนใหญ่

ภาพรวมแล้ว ‘ไทย’ ถือว่ากำลังโดดเด่นในตลาดสัตว์เลี้ยงเอเชีย ด้วยอัตราการเติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ยภูมิภาค ซึ่งสะท้อนว่าการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคม และวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ กำลังผลักดันให้ ‘สัตว์เลี้ยง’ กลายเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่แห่งอนาคตของเอเชีย

ที่มา: งานแถลงข่าว THONGLOR PET HOSPITAL “The Best Outcome”

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา