กระแสรถยนต์ไฟฟ้ายังไหลเข้าประเทศไทยไม่หยุด ประกอบกับ Great Wall Motors (GWM) แบรนด์จีนหน้าใหม่ที่เตรียมบุกไทยเต็มกำลัง ตลาดรถยนต์ พ.ศ.2564 จึงน่าจะกลับมาเติบโต 7-11%
รถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องมีมากขึ้น
ปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าล้วน หรือ Battery Electric Vehicle (BEV) ยังไม่แพร่หลายมากนัก อาจเพราะราคายังค่อนข้างสูง และมีตัวเลือกน้อย แต่ในปี 2564 ทุกอย่างน่าจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น กล่าวคือราคาถูกลง และมีแบรนด์ต่างๆ ส่งรถยนต์ไฟฟ้าล้วนมาให้เลือกเยอะกว่าเดิม
สำหรับราคาที่ถูกลงหลักๆ จะมาจากการไร้ภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าล้วนจากประเทศจีน ทำให้ค่ายผู้ผลิตรถยนต์ต่างๆ เลือกลดราคารถยนต์ไฟฟ้าล้วนที่ทำตลาดอยู่ตอนนี้เพื่อระบายสต๊อก และเตรียมนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าล้วนจากจีนมาจำหน่ายแทน เพราะผู้ผลิตรถยนต์หลายรายมีโรงงานอยู่ที่จีนระยะหนึ่งแล้ว
ส่วนตัวเลือกที่มีมากขึ้น จะมาจากกระแสการสนับสนุนของภาครัฐ รวมถึงการขยายโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะสถานีชาร์จโดยบริษัทเอกชนที่มีมากขึ้น ดังนั้นเมื่อมีทั้งการสนับสนุนสิทธิประโยชน์ต่างๆ และโครงสร้างพื้นฐานพร้อมกว่าเดิม ก็ไม่แปลกที่ค่ายผู้ผลิตรถยนต์จะกล้านำรถยนต์ไฟฟ้าล้วนเข้ามาทำตลาด
แบรนด์จีนบุกไทยเต็มกำลัง
ถัดจากการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า อีกกระแสที่จะเกิดขึ้นแน่ๆ ในตลาดรถยนต์ไทยคือ แบรนด์รถยนต์จากจีนจะเดินหน้าทำตลาดเต็มกำลัง จากเดิมที่มีเพียง MG ที่สู้ในตลาดนี้ด้วยนวัตกรรมใหม่ และราคาที่เข้าถึงง่าย ซึ่งหน้าใหม่ในไทยอย่าง Great Wall Motors ที่ซื้อโรงงาน Chevrolet จะใช้กลยุทธ์เดียวกันหรือไม่ อันนี้ต้องติดตามกัน
แต่การที่ Great Wall Motors เข้ามาทำตลาดจะส่งผลกับตลาดรถยนต์ SUV ในไทยแน่นอน เพราะ Great Wall Motors มีแบรนด์ย่อยที่ชื่อว่า Haval ทำตลาดแต่ SUV เท่านั้น ทั้งยังมีหลากหลายขนาด ทำให้ตอบโจทย์ได้ตั้งแต่ผู้ต้องการ SUV ขนาดเล็ก, ดูคล่องตัวแบบ Crossover หรืออยากโดยสารเยอะๆ อย่าง Full-size SUV ก็มี
นอกจากนี้ Great Wall Motors ยังมีแบรนด์ย่อยรถยนต์ไฟฟ้าล้วน Ora, SUV หรูอย่าง Wey และรถกระบะ GMW Pickup ทำให้ครอบคลุมความต้องการได้หลากหลาย และน่าจะเป็นคู่แข่งคนสำคัญของ MG รวมถึงแบรนด์เจ้าตลาดในประเทศไทยเช่นกัน
ตลาดรถยนต์ฟื้นตัวจากปีก่อน 7-11%
จากปัจจัยข้างต้น รวมถึงสัญญาณบวกทางเศรษฐกิจ ทำให้ตลาดรถยนต์ในปี 2564 ถูกคาดการณ์ว่าจะฟื้นตัวกลับมา โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ภาพรวมยอดขายรถยนต์จะเติบโต 7-11% คิดเป็นจำนวน 8.25-8.55 แสนคัน แบ่งเป็นรถยนต์เครื่องสันดาปภายใน 7.73-8 แสนคัน ที่เหลือเป็นรถยนต์ที่มีไฟฟ้าเป็นส่วนขับเคลื่อน
หากเจาะไปที่กลุ่มรถยนต์ที่มีไฟฟ้าเป็นส่วนขับเคลื่อนจะพบว่า รถยนต์ไฟฟ้าแบบ Hybrid และ Plug-in Hybrid จะมียอดขายทั้งหมด 48,000-50,000 คัน ส่วนรถยนต์ไฟฟ้าล้วนจะมียอดขาย 4,000-5,000 คัน โดยรถยนต์ไฟฟ้าล้วนมีอัตราเติบโตถึง 176-245% เมื่อเทียบกับปี 2562
แต่เพื่อเพิ่มโอกาสให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าล้วนเติบโตได้มากกว่าเดิม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่า ประเทศไทยต้องขยายสถานีชาร์จไฟฟ้าจะปัจจุบันที่มีเพียง 647 แห่ง (1,974 หัวจ่าย) หรือคิดเป็นสัดส่วนสถานีชาร์จ 1 แห่งต่อพื้นที่ 793 ตร.กม. เท่านั้น
เทคโนโลยีล้ำๆ อาจถูกใส่เข้ามามากขึ้น
สุดท้ายคือเทคโนโลยีรถยนต์หลากหลายแง่มุม ไล่ตั้งแต่การขับเคลื่อน, ความปลอดภัย, ความบันเทิง หรืออื่นๆ จะถูกใส่เข้ามาในรถยนต์แบรนด์ตลาดมากขึ้น จากเดิมที่สิ่งเหล่านี้มักพบในกลุ่มแบรนด์หรู เพราะต้นทุนเทคโนโลยีเหล่านั้นถูกลง ประกอบกับการแข่งขันในตลาดที่สูงขึ้น
กรณีที่ทำให้แนวคิดดังกล่าวน่าจะเป็นจริงคือการติดตั้งระบบความปลอดภัยจำนวนมากในรถยนต์ SUV รุ่น MU-X ของ Isuzu แสดงให้เห็นถึงแบรนด์เจ้าตลาดเริ่มเอาจริงมากขึ้น จากเดิมที่กั๊กๆ Option ก็ยังทำกำไรได้ ต่างจากแบรนด์รองที่ต้องแถม Option จำนวนมากเพื่อจูงใจผู้ซื้อ
ส่วนในฝั่งแบรนด์หรูเองต้องจับตาการแข่งขันของ Mercedes-Benz และ BMW ว่าจะอัดแคมเปญ และทำตลาดเชิงรุกมากแค่ไหน เพราะแบรนด์แรกถูกชิงเบอร์หนึ่งรถหรูไปครั้งแรกในรอบหลายสิบปี ส่วน BMW ก็คงอยากครองตำแหน่งผู้นำไว้นานๆ ที่สำคัญแบรนด์รองกว่านั้นทั้ง Audi, Volvo และอื่นๆ ก็พยายามทำตลาดเพื่อชิงแชร์เช่นกัน
สรุป
ตลาดรถยนต์ปี 2564 ยังแข่งขันกันดุเดือด เพราะทุกเจ้าต่างพยายามทำยอดขายให้กลับมาเพื่อชดเชยสิ่งที่หายไปจากปี 2563 ส่วนตัวจึงเชื่อว่าจะมีโปรโมชั่น และแคมเปญต่างๆ รวมถึงรถยนต์หลากหลายรุ่นเปิดตัวในปีนี้เพื่อกระตุ้นตลาดรถยนต์ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา