ไทยเบฟเวอเรจ (ThaiBev) รายงานผลประกอบการ 9 เดือน (สิ้นสุด 30 มิ.ย. 2568) ด้วยรายได้รวม 258,621 ล้านบาท กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ลดลง 4.0% เหลือ 45,026 ล้านบาท สะท้อนภาพการดำเนินธุรกิจท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอตัว ที่บริษัทเลือกอัดฉีดงบลงทุนด้านการตลาดและเสริมความแข็งแกร่งให้แบรนด์ ภายใต้ทิศทางกลยุทธ์ระยะยาว PASSION 2030
ภาพรวมของไทยเบฟกำลังลงทุนเพื่ออนาคต โดยยอมสละกำไรในระยะสั้น เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนผ่าน 2 กลยุทธ์หลัก คือ ‘Reach Competitively’ การขยายเครือข่ายการจัดจำหน่ายให้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ และ ‘Digital for Growth’ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจ
ธุรกิจสุรา ลงทุนหนักเพื่อปั้นแบรนด์พรีเมียม-นวัตกรรมใหม่
ธุรกิจสุรายังคงเป็นรายได้หลัก ด้วยตัวเลข 92,778 ล้านบาท แม้จะทรงตัวจากปีก่อน แต่ปริมาณการขายลดลงเล็กน้อย 0.8% สิ่งที่น่าสนใจคือ EBITDA ที่ลดลงเหลือ 22,161 ล้านบาท ซึ่งมีสาเหตุโดยตรงมาจากการทุ่มงบการตลาดเพื่อสร้างแบรนด์และเปิดตัวสินค้าใหม่ โดยมีประเด็นสำคัญ
- ปั้นพอร์ตพรีเมียม ไทยเบฟกำลังเดินหน้าอย่างจริงจังในการยกระดับภาพลักษณ์สินค้าสุรา เปิดตัวซิงเกิลมอลต์วิสกี้แบรนด์ไทย ‘PRAKAAN (ปราการ)’ ซึ่งได้รับรางวัลระดับโลกอย่าง Category Winner จาก World Whiskies Awards 2025 และกำลังขยายตลาดสู่ยุโรป
- สร้างตลาดใหม่ การเปิดตัว ‘ZATO (ซาโต้)’ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์พร้อมดื่มจากสาโทข้าวหอมมะลิในรูปแบบกระป๋อง ถือเป็นการเจาะตลาดคนรุ่นใหม่และสร้างเซกเมนต์ใหม่ ซึ่งได้รับการตอบรับดีและคว้ารางวัลจากหลายเวทีระดับสากล
- ตลาดเมียนมายังแกร่ง แม้มีความท้าทายในประเทศ แต่แบรนด์ Grand Royal Whisky ยังคงครองส่วนแบ่งอันดับ 1 และมีการขยายพอร์ตไปสู่โซจูภายใต้แบรนด์ Chingu Soju
กลยุทธ์ของธุรกิจสุรา ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านจากการเน้นปริมาณในตลาดแมส ไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านสินค้าระดับพรีเมียมและนวัตกรรม เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่และขยายฐานสู่ตลาดโลก
ธุรกิจเบียร์ในไทยประคองตัว เวียดนามยังเป็นโจทย์ใหญ่
แม้รายได้รวมของธุรกิจเบียร์จะทรงตัวที่ 96,497 ล้านบาท แต่ปริมาณการขายกลับเพิ่มขึ้น 4.8% และ EBITDA ยังเติบโต 4.0% เป็น 12,573 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบได้ดีขึ้น
- ตลาดเวียดนาม SABECO ซึ่งเป็นตลาดหลัก ยังคงเผชิญกับความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เข้มงวด (Decree 100) กลยุทธ์ของ SABECO คือการรักษาตำแหน่งผู้นำ และออกสินค้าใหม่ในขนาดเล็กลง (250 มล.) เพื่อตอบสนองผู้บริโภคที่ระมัดระวังการใช้จ่าย
- ตลาดไทยยังแข็งแกร่ง เบียร์ช้าง ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำในไทย โดยเน้นกลยุทธ์การตลาดผ่านดนตรีและกีฬา พร้อมทั้งผลักดัน ช้างโคลด์บรูว์ เพื่อเจาะตลาดแมสพรีเมียมที่กำลังเติบโต
- เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การที่ SABECO เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน Saigon Binh Tay Beer Group JSC (Sabibeco) เป็น 65.9% ไม่เพียงแต่จะเพิ่มกำลังการผลิต แต่ยังช่วยเสริมประสิทธิภาพด้านซัพพลายเชน โดยเฉพาะการผลิตกระป๋อง
ธุรกิจเบียร์แสดงให้เห็นภาพการบริหารจัดการพอร์ตที่แตกต่างกันใน 2 ตลาดหลัก โดยในไทยเน้นการสร้างแบรนด์และขยายสู่เซกเมนต์พรีเมียม ขณะที่ในเวียดนามมุ่งเน้นการปรับตัวเพื่อรับมือกับสภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย
ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เผชิญกำลังซื้อซบเซา เร่งเครื่องด้วย F&N
กลุ่มธุรกิจนี้ได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่ชะลอตัวโดยตรง รายได้ลดลงเล็กน้อย 0.7% อยู่ที่ 49,326 ล้านบาท และ EBITDA ลดลง 6.3% เหลือ 8,718 ล้านบาท จากการเพิ่มงบลงทุนด้านการตลาด
- แบรนด์หลัก โออิชิ ตอกย้ำภาพลักษณ์ชาเพื่อสุขภาพ, คริสตัล ชูจุดเด่นด้านสิ่งแวดล้อมด้วยฝาขวดแบบติด และ เอส โคล่า เดินหน้าเจาะตลาด Gen Z และสร้างการรับรู้ผ่านการเป็นผู้สนับสนุนการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก
- ใช้ประโยชน์จาก F&N การผนวกรวม F&N เริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น จากการเปิดตัวนมถั่วเหลืองพรีเมียม NutriWell และไอศกรีม Magnolia HERSHEY’s ในประเทศไทย เพื่อขยายพอร์ตสินค้าและเจาะกลุ่มผู้บริโภคใหม่ๆ
- ขยายช่องทางดิจิทัล กลุ่มธุรกิจนี้กำลังให้ความสำคัญกับการใช้ข้อมูลเชิงลึกจากโซเชียลมีเดีย และขยายช่องทางการขายผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของตัวเอง เช่น Sermsuk Click
ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์กำลังต่อสู้กับสภาวะตลาดที่ไม่สดใสนัก โดยใช้การตลาดนำ และใช้การผนึกกำลังกับ F&N เป็นอาวุธสำคัญในการสร้างการเติบโตในอนาคต
ธุรกิจอาหาร กระทบหนักจากพิษเศรษฐกิจ
กลุ่มธุรกิจอาหารได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลง รายได้ลดลง 1.4% เหลือ 16,563 ล้านบาท และ EBITDA ลดลงเหลือ 1,578 ล้านบาท จากต้นทุนวัตถุดิบและค่าแรงที่สูงขึ้น
- กลยุทธ์สมดุล ธุรกิจอาหารใช้กลยุทธ์ทั้งการขยายสาขาในทำเลที่มีศักยภาพ ควบคู่ไปกับการกระตุ้นยอดขายสาขาเดิมผ่านโปรโมชันและเมนูใหม่ๆ เช่น การปรับโฉมแบรนด์ ชาบูชิ
- เพิ่มประสิทธิภาพภายใน มุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากรให้ทำงานได้หลายแบรนด์, ใช้ระบบดิจิทัลเข้ามาช่วยบริหารจัดการแรงงานและสต็อกสินค้า และพยายามลดต้นทุนผ่านการจัดหาวัตถุดิบร่วมกันภายในกลุ่มไทยเบฟ
- มุ่งเน้นความยั่งยืน เริ่มดำเนินโครงการจัดการขยะอาหารร่วมกับเจ้าของพื้นที่เช่า เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ภาพรวมธุรกิจอาหารยังคงเผชิญความท้าทายสูง และต้องพึ่งพาการฟื้นตัวของกำลังซื้อผู้บริโภคเป็นหลัก ควบคู่ไปกับการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานภายในอย่างเข้มข้น
ความยั่งยืนและบุคลากร รากฐานสำคัญเพื่อขับเคลื่อนองค์กร
นอกเหนือจากกลยุทธ์ทางธุรกิจ ไทยเบฟยังให้ความสำคัญกับการดำเนินงานด้าน ความยั่งยืน อย่างจริงจัง โดยตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 และได้รับการยอมรับในระดับสากลผ่านการเป็นสมาชิกดัชนี DJSI World ต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 การบริหารจัดการน้ำและการใช้บรรจุภัณฑ์หมุนเวียนถือเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์นี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระยะยาว
ขณะเดียวกัน ด้านทรัพยากรบุคคล ถูกวางให้เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย PASSION 2030 ผ่านการพัฒนาบุคลากรแบบองค์รวม (Holistic People Development) เพื่อสร้างทักษะใหม่ที่จำเป็นต่อการขยายช่องทางจัดจำหน่ายและการเติบโตด้วยดิจิทัล โดยบริษัทระบุว่ามีคะแนนความผูกพันของพนักงานสูงถึง 86% ในปีที่ผ่านมา
ไทยเบฟกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ บริษัทกำลังใช้จ่ายเงินลงทุนจำนวนมากเพื่อวางรากฐานสำหรับอนาคตภายใต้แผน PASSION 2030 โดยยอมรับผลกระทบต่อผลกำไรในระยะสั้น ความสำเร็จของกลยุทธ์นี้ขึ้นอยู่กับว่าการลงทุนในการสร้างแบรนด์, การขยายช่องทางจำหน่าย, และการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ จะสามารถสร้างการเติบโตของรายได้ให้กลับมาโดดเด่นได้หรือไม่ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนและตลาดต้องจับตาอย่างใกล้ชิดต่อไป
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา