แค่เส้นใหญ่โฟฯ ก็ โก สิงคโปร์ได้ เคล็ดลับ “รสเจ็บ” เย็นตาโฟเครื่องทรง อ. มัลลิการ์

เย็นตาโฟ หรือก๋วยเตี๋ยวน้ำสีแดงที่มีรสจัดเล็กๆ คงเป็นอาหารธรรมดาในสายตาหลายคน แต่ อ.มัลลิการ์ ไม่ได้คิดอย่างนั้น แถมยังสร้างแบรนด์ เย็นตาโฟเครื่องทรง โดยอ.มัลลิการ์ จนติดตลาด ผ่านการเน้นขายแค่เย็นตาโฟที่มีให้เลือกแต่เส้นใหญ่เท่านั้น ที่สำคัญยังเตรียมนำร้านนี้ไปเปิดที่สิงคโปร์ด้วย แล้วทำไมถึงทำอย่างนั้นได้

มัลลิการ์ ธรรมวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มัลลิการ์ อินเตอร์ฟู๊ด จำกัด
มัลลิการ์ ธรรมวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มัลลิการ์ อินเตอร์ฟู๊ด จำกัด

เส้นใหญ่ – ร้านแดง – รสเจ็บ คือหัวใจ

มัลลิการ์ ธรรมวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มัลลิการ์ อินเตอร์ฟู๊ด จำกัด เล่าให้ฟังว่า เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ได้เปิดร้าน เย็นตาโฟเครื่องทรง โดยอ.มัลลิการ์ ขึ้นมา เริ่มต้นที่แถวแยกเหม่งจ๋าย แต่พอมีลูกค้ามากขึ้นก็อยากขยายตลาดเข้าไปในห้างสรรพสินค้า ทำใหต้องคิดใหม่หลายๆ อย่าง การขายแต่เส้นใหญ่คือหนึ่งในกลยุทธ์หลัก เพราะสามารถปรุงเย็นตาโฟได้เร็วขึ้น นอกจากนี้การสร้างร้านให้เป็นสีแดงเห็นชัดเจน และการสร้างรสชาติต่างๆ เช่นรสเจ็บ, ใจเสาะ กับเด็กเด็ก ก็เป็นอีกหัวใจที่ช่วยสร้างจุดเด่นให้ร้านจนแข่งกับร้าน Fast Food ได้

“เย็นตาโฟเครื่องทรงคือตัวเลือกหลักที่ลูกค้าเข้ามาในร้านเราแล้วต้องสั่ง ส่วนรสชาติต่างๆ ก็มีไว้เป็น Gimmick เช่นถ้าวัยรุ่นมากินก็ไม่อยากสั่งในเสาะ เพราะดูแปลกๆ แต่อาหารอื่นเราก็มีในร้าน และตอนนี้ก็มี 30 สาขาทั่วประเทศ รวมที่ประเทศลาวอีก 2 สาขาแล้ว ซึ่งการเติบโตของเราทำให้มีหลายบริษัทเสนอซื้อเฟรนไชส์ร้านเย็นตาโฟเครื่องทรงฯ แต่เราไม่ขาย เพราะกลัวคุมคุณภาพไม่ได้ หรือบางครั้งมันก็ใหญ่เกินที่เราจะรับไหว เช่นบมจ.ปตท. ก็สนใจให้เราไปเปิดทุกปั๊ม แต่มันคงไม่ได้ เราจึงเปิดเองแค่ 8 สาขาก่อน”

เย็นตาโฟเครื่องทรง // ภาพจากเฟสบุ๊ก YentafoMallika
เย็นตาโฟเครื่องทรง // ภาพจากเฟสบุ๊ก YentafoMallika

เฟรนไชส์ คืออีกโอกาสทั้งใน และต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม หลังจาก บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ผู้นำในตลาดร้านอาหาร ได้ติดต่อเข้ามาขอซื้อเฟรนไชส์ ทางร้านก็ตัดสินใจขายให้เป็นรายแรก เพราะด้วยความพร้อมของคู่ค้า รวมถึงแผนธุรกิจที่ชัดเจน โดยเริ่มต้นเปิดสาขาบริเวณดอนเมืองก่อน และมีผลตอบรับค่อนข้างดี เพราะชาวต่างชาติมารับประทานจำนวนมาก จึงมีข้อเสนอที่น่าเข้าไปท้าทาย คือการทำตลาดในต่างประเทศ เริ่มต้นที่สิงคโปร์ ก่อน โดยทางกลุ่มไมเนอร์จะเป็นผู้บริหารทั้งหมด และให้ อ.มัลลิการ์ เป็นคนคุมคุณภาพของรสชาติอีกทาง

สำหรับการทำตลาดในประเทศสิงคโปร์นั้น ปี 2559 จะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. เปิดทั้งหมด 3 สาขา ประกอบด้วยสาขาบริเวณถนน Orchard, ย่าน CBD และ Sport Hub เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าวัยรุ่น, คนทำงาน และครอบครัว โดยป้ายหน้าร้านจะใช้ภาษาไทยตามต้นฉบับทั้งหมด แต่มีภาษาอังกฤษกำกับตามชื่อ และมีภาษาจีนอ่านว่า Thai Gua Yong Tau Foo หรือเย็นตาโฟคนไทย เขียนกำกับไว้เช่นกัน ส่วนรสชาติก็จะเหมือนที่ไทย และมีรสเจ็บ, ใจเสาะ และเด็กเด็ก เพราะคนที่นั่นกินอาหารรสจัดเป็นปกติ และที่สิงคโปร์ก็มีเย็นตาโฟอยู่แล้ว แต่คนละแบบกับที่ประเทศไทย

ตัวอย่างร้านเย็นตาโฟ อ.มัลลิการ์ ในประเทศไทย
ตัวอย่างร้านเย็นตาโฟ อ.มัลลิการ์ ในประเทศไทย

Self – Service ช่วยควบคุมเรื่องคุณภาพ

อรรถ ประคุณหังสิต ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ด้านธุรกิจแฟรนไชส์ และกลุ่มธุรกิจอาหารไทย กลุ่มไมเนอร์ บอกว่า ด้วยพฤติกรรมคนสิงคโปร์ 80% ชอบกินข้าวนอกบ้าน ผ่านสถานที่พักอาศัยที่คับแคบ ทำให้โอกาสการขยายร้านอาหารที่นั่นยังทำได้อยู่ แต่หากเป็นอาหารที่ต้องควบคุมคุณภาพ การเลือกทำแบบ Self – Service หรือให้ลูกค้าปรุงรส และจัดการเรื่องเครื่องเอง ก็เป็นอีกวิธีที่ตอบโจทย์ ซึ่งร้านเย็นตาโฟเครื่องทรงที่สิงคโปร์จะใช้วิธีนี้ ทำให้แต่ละร้านจะใช้พนักงานเพียง 5 คน/กะ เพื่อดูแลร้าน ส่วนราคาจะสูงกว่าที่ไทย 30%

ขณะเดียวกัน ไมเนอร์ มีแผนขยายร้านเย็นตาโฟเครื่องทรง อ.มัลลิการ์ ไปอีก 4 สาขาที่สิงคโปร์ในปี 2560 และอยู่ระหว่างวางแผนนำร้านไปยังประเทศอื่นๆ เพราะบริษัทมีประสบการณ์ทั้งการบริหารแฟรนไชส์ รวมถึงเปิดร้านอาหารเองในต่างประเทศกว่า 80 สาขา โดยเฉพาะร้านอาหารไทยในสิงคโปร์ที่มีกว่า 200 ร้าน บริษัทถือส่วนแบ่งอยู่ 15% และเชื่อว่าโอกาสที่ร้านอาหารสัญชาติไทยจะเข้าไปอยู่ในต่างประเทศก็สามารถทำได้อยู่ เพราะอาหารไทยค่อนข้างมีรสชาติเด่น และถูกปากชาวต่างชาติ

สรุป

ร้านอาหารไทย หากบริหารดีๆ มีรสชาติที่ชัดเจน โอกาสที่จะเติบโตได้อย่าง เย็นตาโฟเครื่องทรง อ.มัลลิการ์ แต่หากเลือกวิธีเฟรนไชส์ก็ต้องควบคุมคุณภาพให้ได้ เพราะถ้าคุมไม่ได้ เท่ากับแบรนด์ก็จะเสียไปด้วย ส่วนเรื่องไปต่างประเทศนั้น อันนี้ต้องอยู่ที่ความพร้อม และรสชาติว่าขายได้หรือไม่ ถ้าไปแบบร้านบะหมี่เกี๊ยวหน้าปากซอย อาจไม่ถูกต้องนัก

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา