- ยอดขายเพิ่ม 5.9 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 31,103 ล้านบาท จากความต้องการซื้ออาหารกระป๋องที่เพิ่มขึ้น
- กำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 49.9 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 1,529 ล้านบาท ด้วยกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นและราคาปลาทูน่าที่ปรับตัวขึ้น
- กระแสเงินสดในไตรมาสแรกมากกว่า 1 พันล้านบาท
- บริษัทบริหารจัดการสถานการณ์ไวรัสโคโรน่าหรือ โควิด-19 อย่างทันท่วงที โดยให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพและความปลอดภัย ตลอดจนแผนการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อผลิตอาหารให้กับผู้บริโภคทั่วโลก
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2563 ด้วยยอดขาย 31,103 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.9 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีก่อนหน้า และนับเป็นยอดขายไตรมาสแรกที่ดีที่สุดในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา
ยอดขายเติบโตขึ้นจากปริมาณการขายของธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องที่เพิ่มขึ้นถึง 24.5 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 99,599 ตัน เนื่องจากผู้บริโภคทั่วโลกมีการจับจ่ายอาหารกระป๋องในช่วงสถานการณ์ไวรัสโคโรน่าหรือโควิด-19 ด้านกระแสเงินในไตรมาสแรกของบริษัทมีมากกว่า 1 พันล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารกระแสเงินสดของบริษัท
กำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสแรกอยู่ที่ 1,529 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.9 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากการควบคุมต้นทุนและการทำกำไรอย่างมีประสิทธิภาพ อัตราค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายอยู่ที่ 11.3 เปอร์เซ็นต์ เทียบกับ 11.4 เปอร์เซ็นต์ในช่วงไตรมาสแรกของปีก่อนหน้า อย่างไรก็ดี กำไรสุทธิลดลง 20.2 เปอร์เซ็นต์เนื่องจากผลกระทบจากโควิด-19 ที่มีต่อการลงทุนเชิงกลยุทธ์ของบริษัทและการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา
ในส่วนของยอดขายในไตรมาสแรกปี 2563 นั้น ธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปมียอดขายอยู่ที่ 15,631 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.2 เปอร์เซ็นต์ ธุรกิจอาหารแช่แข็งและธุรกิจที่เกี่ยวข้องมีปริมาณการขายลดลงเพียง 1.1 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 61,179 ตัน ในขณะที่ยอดขายลดลง 5.1 เปอร์เซ็นต์อยู่ที่ 10,944 ล้านบาท เนื่องจากผลกระทบจากโควิด-19 ที่มีต่อช่องทางจำหน่ายในธุรกิจโรงแรมร้านอาหารต่างๆ ในขณะที่ธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่ามียอดขายเพิ่มขึ้น 3.3 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 4,528 ล้านบาท ด้วยกลยุทธ์ที่ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราการทำกำไรสูง
ไตรมาสแรกที่ผ่านมา ยอดขายในอเมริกาเหนือ มีสัดส่วน 43 เปอร์เซ็นต์ ของยอดขายรวมทั้งหมด ในขณะที่ตลาดยุโรป คิดเป็น 30 เปอร์เซ็นต์ ตลาดประเทศไทยมีสัดส่วน 11 เปอร์เซ็นต์ และยอดขายตลาดอื่นๆ คิดเป็น 16 เปอร์เซ็นต์
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา