บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ประกาศผลประกอบการประจำปี 2562 ที่ผ่านมา พร้อมเปิดเผยกลยุทธ์การทำธุรกิจในอนาคตของบริษัทฯ โดย ธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้เปิดเผยผลประกอบการประจำปี 2562 ที่ผ่านมา พบว่ามีกำไรสุทธิหลังหักรายการพิเศษ (Net Profit) อยู่ที่ 3,816 ล้านบาท
หากไม่หักรายการพิเศษจะมีกำไรสุทธิ 5,218 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายด้านกฎหมาย Anti trust กว่า 1,400 ล้านบาท กำไรขั้นต้น (Gross Profit) มากกว่า 20,000 ล้านบาท เติบโต 6.4% ส่วน อัตรากำไรอยู่ (Gross Margin) 16% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่เคยอยู่ในระดับ 14%
แม้ว่าอัตรากำไรจะเพิ่มขึ้น แต่ยอดขายลดลงเหลือ 126,270 ล้านบาท ลดลง 5.3% จากปีก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น รวมถึงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ยูโร และปอนด์ที่อ่อนตัวลง
ส่วนสัดส่วนยอดขายทั่วโลกแบ่งเป็น ทวีปอเมริกาเหนือ 41% ยุโรป 28% ซึ่งลดลงจากเดิมที่เคยมีสัดส่วน 33% เอเชีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา และอเมริกาใต้ 18% ส่วนในประเทศไทยมีสัดส่วนยอดขายที่ 12%
สถานการณ์ไวรัส COVID-19 ที่ประเทศจีน มองว่าไม่กระทบกับบริษัทมากนัก เพราะจีนไม่ใช่ตลาดใหญ่ของบริษัทอยู่แล้ว แต่มองเรื่องความเสี่ยงในกรณีที่พนักงานติดไวรัสมากกว่า
เป้าหมายในอนาคต เน้นสร้างนวัตกรรม ความยั่งยืนเพื่อสิ่งแวดล้อม
เป้าหมายในอนาคตของไทย ยูเนี่ยน กรุ๊ป ต้องการลงทุนในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ เนื่องจากตลาดอาหารสัตว์มีแนวโน้มเติบโตเรื่อยๆ จากสภาพเศรษฐกิจ คนมีฐานะดีขึ้น หรือเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ย่อมเกิดความต้องการเลี้ยงสัตว์เพื่อคลายเหงา
นอกจากนี้ยังมีอาหารกุ้ง และ Marine Ingredients คือการนำเอาส่วนต่างๆ ของสัตว์ทะเลมาทำให้เกิดมูลค่าเพิ่ม เช่น การทำน้ำมันปลาทูน่าจากหัวปลาทูน่า และคอลลาเจนจากหนังปลา แทนที่จะทิ้งไปโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์
นอกจากนี้บริษัทยังตั้งเป้าขยายสัดส่วนรายได้ของ Alternative Protien หรือโปรตีนทางเลือกที่ทำจากพืช จากเดิมที่มีอยู่ 5% เพราะโปรตีนทางเลือกที่ทำจากพืชเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่า ไม่ต้องฆ่าสัตว์ และปัจจุบันมีรสชาติที่เหมือนเนื้อสัตว์มากขึ้น ไม่ต้องกินแบบฝืนอีกต่อไป
ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ต้องการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อต่อยอดจากสิ่งที่บริษัทมี และเสริมสร้างความยั่งยืนในอนาคต ซึ่งถือว่าเป็นจุดแข็งที่สำคัญเหนือคู่แข่งรายอื่นในตลาด ด้วยการก่อตั้งโครงการ Space F ร่วมกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ และคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อสร้าง Start up ด้านนวัตกรรมอาหาร
โดยตั้งเป้าใช้เงินลงทุนกว่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 951 ล้านบาท ซึ่งตอนนี้ได้จ่ายเงินลงทุนไปแล้ว 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 158 ล้านบาท
ส่วนการลงทุนในธุรกิจอื่นในอนาคต จะลงทุนทำในสิ่งที่ได้อัตรากำไรมากกว่า 15-16% ขึ้นไป และจะต้องมีการลงทุนกับเครื่องจักร และเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น การลดการใช้พลังงาน ใช้พลังงานสะอาด ลดของเสียจากกระบวนการผลิต ลดขยะพลาสติก และลดการปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นการช่วยลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในอนาคตได้ด้วย
ไม่ใช่แค่เรื่องการสนับสนุนเรื่องนวัตกรรมและสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ไทย ยูเนี่ยนกรุ๊ป ยังส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือ SME ด้วยการส่งเนื้อปลาทูน่าให้ป้าแว่น ผู้ทำน้ำพริกบรรจุใส่ถ้วยขายผ่านร้านสะดวกซื้อ กลายเป็นน้ำพริกทูน่าฟู ตราซีเล็ค โดยป้าแว่น
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา