‘กำแพงภาษี’ ของทรัมป์ มีหลายแง่มุมที่ต้องกังวล หนึ่งในนั้นคือ ‘สินค้าสวมสิทธิ์จากจีน’
เพราะสหรัฐฯ มองว่าไทยเสี่ยงเป็นฐานให้สินค้าจีน ‘ชุบตัวเป็นไทย’ และอาจตั้งกำแพงต่อกลุ่มนี้สูงสุดถึง 40%
‘ภาษีทรัมป์’ เป็นหนึ่งในประเด็นร้อนเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยล่าสุด ไทยนำทีมเข้าเจรจาและลดภาษีลงเหลือ 19% ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนที่ส่งออกไปสหรัฐฯ เป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม KKP ชี้ว่าภาษี 19% อาจจะเป็นแค่ข่าวดีระยะสั้น เพราะกำแพงภาษีคราวนี้อาจเป็นตัวบ่งบอกว่า ในระยะยาว การค้าเสรีกำลัง ‘หมดอายุ’ เรื่องที่ต้องคุยต่อคือ ไทยจะต้องวางตัวแบบไหนเมื่อการค้าโลกกำลังเปลี่ยนไป
Brand Inside มีโอกาสไปรับฟังมุมมองของ ดร. พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ผู้ที่มองว่า ‘การค้าเสรี’ ซึ่งช่วยสร้างรายได้ให้ประเทศกำลังพัฒนามาตลอด 40 ปี อาจกำลังเจอจุดเปลี่ยนเพราะ ‘กำแพงภาษี’
การค้าเสรี ในแว่นของโดนัลด์ ทรัมป์
แม้อเมริกาจะเป็นตัวตั้งตัวตีผลักดันการค้าเสรีภายใต้ฉันทามติวอชิงตัน (Washington Consensus) แต่ในมุมมองของรัฐบาลอเมริกันภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมองว่าการค้าเสรีนี้เอง ในอีกมุมหนึ่ง ก็เป็นระเบิดเวลาให้เศรษฐกิจประเทศ
เพราะสิ่งที่เกิดคือ บริษัทอเมริกันย้ายฐานการผลิตออกไปยังประเทศที่ต้นทุนถูกกว่า ทำให้การจ้างงานกลุ่มผู้ใช้แรงงานในประเทศลดลง
นี่คือเหตุผลว่าทำไม ผู้นำที่รักกำแพงภาษี อย่างโดนัลด์ ทรัมป์ ถึงชนะผู้มีสิทธิเลือกตั้งบางกลุ่มในปี 2017 และสามารถกลับสู่อำนาจเป็นสมัยที่สองในปีนี้
ดร. พิพัฒน์ อธิบายให้เห็นภาพว่า “การค้าโลกในมุมของสหรัฐฯ กำลังอยู่ในภาวะที่ไม่สมดุลระหว่าง 2 ขั้ว คือ “ผู้ซื้อเกินตัว” กับ “ผู้ขายอย่างเดียว” ทรัมป์จึงใช้ภาษีนำเข้าเป็นเครื่องมือในการจัดการปัญหา “ขาดดุลแฝด” คือขาดดุลทางการค้าและการคลัง
อเมริกามองว่าตนเป็นผู้ซื้อสินค้าจากโลกแค่รายเดียว แต่ทุกประเทศใช้ตลาดอเมริกาในการโต
โดยใช้การส่งออก แทนที่จะใช้ภาคการบริโภคภายในประเทศ
อย่างในประเทศจีน มีสัดส่วนของการบริโภคภายในประเทศอยู่แค่เพียง 39% ของ GDP ทำให้เห็นว่าจีนเน้นตลาดส่งออก และประเทศปลายทางคือเมริกาที่เป็นตลาดใหญ่ที่รับซื้อสินค้า
ทางเลือกของทรัมป์ คือ กำแพงภาษี
ทรัมป์จึงชูธงนโยบายเพื่อลดการขาดดุลทางการค้า 2 ส่วน คือ
- ให้ผู้ผลิตและแบรนด์อเมริกากลับมาผลิตของในประเทศเพื่อเพิ่มการส่งออกและการจ้างงาน
- บีบให้ทุกประเทศเปิดตลาดให้กับสินค้าสหรัฐฯ มากขึ้น เพื่อสามารถส่งออกได้มากขึ้นและเป็น โจทย์ใหญ่ที่อเมริกาต้องการ จนเกิดเหตุการณ์ที่ทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้ากับคู่ค้า ซึ่งโดนไป 19% หลังการเจรจารอบล่าสุด
KKP Research วิเคราะห์ว่า การส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ไม่ได้กระทบสินค้าไทยทั้งหมด โดย KKP แบ่งสินค้าออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
- สินค้าปกติที่ถูกเก็บภาษี 19% และมีมูลค่าเพิ่มในประเทศสูง ส่งผลต่อการผลิตมากที่สุด เช่น กลุ่ม อาหาร ข้าว ยางพารา
- สินค้าที่นำเข้าจากจีนและส่งออกไปยังสหรัฐฯ โดยไทยแทบไม่มีบทบาทการผลิต และมีมูลค่าเพิ่มในประเทศอยู่ในระดับต่ำ เช่น แผงโซลาร์เซลล์ อุปกรณ์เครือข่าย และเราเตอร์ไวไฟ
- สินค้ามูลค่าเพิ่มต่ำถึงปานกลาง พึ่งพาวัตถุดิบจากจีนสูง และอาจถูกจัดอยู่ในกลุ่มสินค้าสวมสิทธิจากประเทศที่สาม (Transshipment) ต้องเสียภาษี 40% และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระดับปานกลาง เช่น ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น จอมอนิเตอร์ เป็นต้น
แต่ก็มีสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ ที่อยู่ในบัญชีได้รับยกเว้นซึ่งคาดว่ามีสัดส่วนราว 30% ของการส่งออกไปสหรัฐฯ และไม่ต้องเสียภาษีเพิ่ม
ไม่ใช่แค่ กำแพงภาษี 19% แต่สินค้าสวมสิทธิ์ก็เสี่ยง
ดร. พิพัฒน์ อธิบายว่าการที่ไทยโดนภาษี 19% จะทำให้การส่งออกของไทยชะลอตัว ทั้งโรงงานและผู้ส่งออก ก็ต้องแบกรับภาษีตัวนี้ไว้ในสินค้าทั่วไป แต่ในสินค้าอย่างฮาร์ดดิสก์หรือชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ ซึ่งยังเป็นสินค้าที่จำเป็นในอเมริกาอยู่ ก็ยังไม่มีการเก็บภาษี ซึ่งยังต้องลุ้นว่าสินค้าเหล่านี้เป็นสินค้าชนิดหลักที่ไทยส่งออกโดนจะโดนเก็บภาษีเพิ่มไหม
ในด้านหนึ่ง นโยบายการส่งเสริมการลงทุนก็มีช่องโหว่ที่ทำให้สินค้าจากจีนเข้ามาในไทยเพิ่มขึ้น โดยใช้ไทยเป็นเพียงที่ประกอบสินค้าและส่งออกต่อ ก็ต้องดูว่าสินค้าบางรายการที่เข้าข่ายสวมสิทธิ์ จะโดนเก็บภาษี (สูงสุด 40%) เมื่อไหร่ ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริงจะทำให้สินค้าอิเล็กทรอนิกส์หลายอย่างที่ผลิตในไทยและส่งออกได้รับผลกระทบด้วย
อย่างไรก็ตาม ดร. พิพัฒน์ บอกถึงโอกาสว่าในการจากการต่อรองภาษีล่าสุดที่ลงมาเหลือ 19% ทำให้ไทย ต้องเปิดรับสินค้าบางอย่างจากอเมริกาเข้ามาด้วย เช่น ข้าวโพด ซึ่งในสหรัฐฯ มีต้นทุนการผลิตถูกกว่าไทย ทำให้ธุรกิจอาหารสัตว์เตรียมมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำลง ซึ่งก็เป็นผลดีต่อธุรกิจเกษตรและอาหารต่อไปอีกในภาพรวม
อนาคตของไทย ในยุคที่การค้าเสรีโดนบ่อนทำลาย
กำแพงภาษีรอบนี้ชี้ให้เห็นแผลในโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ดร. พิพัฒน์ อธิบายให้เห็นแนวโน้มโดยรวมว่า “ไทยพึ่งพาการส่งออกเป็นเครื่องยนต์หลักในการเติบโตทางเศรษฐกิจมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อ 20 ปีก่อน มูลค่าการส่งออกคิดเป็น 30% ของ GDP แต่ตอนนี้โตมาอยู่ที่ 70%”
โดยล่าสุด การส่งออกเริ่มชะลอตัวจาก 70% มาเป็น 60% ไทยก็ได้ภาคการท่องเที่ยวเข้ามาพยุง แต่พอการท่องเที่ยวชะลอตัวไปอีกหนึ่งอย่าง ทำให้เราต้องลองกระตุ้นการซื้อสินค้าในประเทศ
KKP Research คาดว่าผลกระทบทั้งปีต่อ GDP ไทยจากมาตรการภาษีของอเมริกา จะอยู่ระหว่าง 0.3-0.9% หรือเฉลี่ย 0.6% และในกรณีที่หากสหรัฐฯ ยกเลิกรายการสินค้าที่ได้รับการยกเว้นจะทำให้ผลกระทบสูงขึ้นเป็น 0.7-1.1% และคาดว่าการส่งออกจะหดตัวลงแรงหลังจากเร่งส่งออกก่อนมาตรการมีผลบังคับใช้หลังเดือนสิงหาคม
อีกเรื่องที่น่าห่วงคือผลกระทบต่อเกษตรกรและผู้เลี้ยงสัตว์ของไทย เมื่อเรารับข้าวโพดหรือเนื้อหมูเข้ามาจากสหรัฐฯ ซึ่งรัฐก็ต้องช่วยเยียวยาและหาตลาดใหม่ ๆ มาชดเชยให้
ดร. พิพัฒน์ ทิ้งท้ายว่า “กรณีกำแพงภาษีรอบนี้จะเป็นโจทย์ให้รัฐบาลหาหนทางดึงดูดการลงทุนระยะยาว ที่เน้นการสร้างห่วงโซ่อุปทาน ‘ภายในประเทศ’ สร้างมูลค่าเพิ่มกับเศรษฐกิจในประเทศ และสามารถถ่ายโอนเทคโนโลยี ซึ่งจะทำได้ก็ต้องมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้ดีในระยะยาว
- เตรียมรับแรงกระแทก! หลังปิดดีลภาษีทรัมป์ที่ 19% ธุรกิจไทยต้องปรับตัวอย่างไรในการค้าโลก?
- ถ้าไทยโดนภาษี ทรัมป์ 36% จริง นักเศรษฐศาสตร์ มองว่าไทยจะ ‘หมดเสน่ห์’ เข้าไปอีก
- ภาษีทรัมป์ไม่น่ากลัวเท่าส่งออกจีน ยิ่งจีนลดราคาสินค้าตีตลาดไทยและอาเซียน ผู้ผลิตยิ่งแย่ แรงงานหดตัว
- ผลสำรวจ UOB Business Outlook Study 2025 เผยภาคธุรกิจไทยมุ่งขยายโอกาส ในภูมิภาค รับมือผลกระทบจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา