หลักทรัพย์กสิกรไทยชี้ หุ้นขยับกรอบแคบ – คาดการเมืองไทยมีข้อสรุปสิ้นเดือนนี้ 

บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย ประเมินว่า แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศตลาดยังปรับตัวลงพักฐานต่อระยะสั้น โดยดัชนีตลาดแกว่งตัวลงปรับฐานระยะสั้นเนื่องจากตลาดยังรอพิจารณามติศาลรัฐธรรมนูญวันนี้ (3 ส.ค.) และผลโหวตสภาฯ เลือกนายกรัฐมนตรีในวันศุกร์ อย่างไรก็ตามประเมินกรอบซื้อขายวันนี้ไว้ที่ 1,545/1,560 จุด

ทั้งนี้ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:

  1. พรรคเพื่อไทยขอถอนตัวจากการร่วมมือจาก Mou 8  พรรค เพื่อให้ได้รับเสียงสนับสนุนที่เพียงพอในการจัดตั้งรัฐบาล และเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลพรรคร่วมใหม่โดยเสนอ นายเศรษฐา ทวีสินเป็นนายก ทั้งนี้มีการแถลงแยกทางกับพรรคก้าวไกลในการร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลเนื่องจากไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขประมวลกฏหมายมาตร 112 อีกทั้งพรรคการเมืองอื่นๆ และสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ไม่ยอมรับนโยบายของพรรคก้าวไกลในการแก้ไขกฏหมายดังกล่าว
  2. ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับเพิ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ตามคาดจาก 2.00% เป็น 2.25% มองธปท.ขึ้นดอกเบี้ยแม้เงินเฟ้อสุดต่ำเพียง 0.2% เนื่องจากเป็นการสร้าง policy space สำหรับการปรับดอกเบี้ยลงในอนาคต ประเมินกลุ่มธนาคารหลัก (BBL, KTB, SCB) เป็นหุ้นที่จะได้ประโยชน์จาก NIM ที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น
  3. อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ​ อายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้น 3bps เป็น 4.07% โดยระหว่างชั่วโมงซื้อขายปรับตัวขึ้นไปถึง 4.12% ทำจุดสูงสุดนับแต่เดือน พ.ย.​ 2022 หลังรัฐบาลสหรัฐฯ เตรียมออกพันธบัตรระยะยาวในตลาดแรกสูงกว่า 103,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ​ (อายุ 3 ปี​ 10 ปี และ 30 ปี) ในสัปดาห์หน้า เพื่อกู้เงินไปชดเชยการขาดดุลงบประมาณการคลังที่สูงขึ้นจากระดับ 3.7% ในปี 2022 เป็น 6.3% ในปี 2023 ซึ่งส่งผลให้ Fitch ปรับลด credit rating รอบล่าสุด

    นอกจากนี้นักลงทุนยังกังวลว่าเงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้นอีกครั้งจากตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่ง (ADP รายงานตัวเลข เดือนก.ค. ที่ 324,000 ตำแหน่ง สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 191,000 ตำแหน่ง) ทำให้นักลงทุนต้องการผลตอบแทนจากพันธบัตรเพิ่ม
  4. EIA รายงานตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบ (Crude oil inventories) ลดลงแรงสุดในประวัติศาสตร์ที่ 17 ล้านบาร์เรล ในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่ตลาดคาดว่าจะปรับลดลง 900,000 บาร์เรล อย่างไรก็ดีแม้ตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบปรับตัวลดลงมาก แต่ราคาน้ำมันดิบช่วงข้ามคืนปรับตัวลดลงแรงจาก sentiment ตลาดเป็น risk off หลัง FITCH หั่น raing สหรัฐฯลง ส่งผลให้ค่าเงินดอล์ลาร์สหรัฐปรับแข็งค่าขึ้นเทียบทุกสกุลเงินและสินทรัพย์
  5. รัสเซียเผยพร้อมกลับมาเปิดการเจรจาข้อตกลง Black Sea Initiative อีกครั้งหากข้อกังวลที่ร้องขอได้รับการแก้ไขโดยเฉพาะในส่วนของการลดอุปสรรคหลายๆด้านสำหรับการส่งออกธัญพืชและปุ๋ยจากรัสเซีย ทั้งนี้สถานการณ์การเจรจากลับมาดูดีขึ้นหลังประธานาธิบดี Erdogan ของตุรกีเข้ามาเป็นตัวกลางในการเจรจา นอกจากนี้ยังได้ปัจจัยบวกจากสภาวะอากาศที่มีฝนตกมากขึ้นในสหรัฐฯ ด้วย ส่งผลให้ราคาข้าวโพด,​ ข้าวสาลี และถั่วเหลืองปรับตัวลงต่ออีก 1.5%-2% วานนี้ มองเป็นบวกกับกลุ่ม F&B (GFPT, CPF, BTG, RBF)

บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า แนวโน้มตลาด SET index วันนี้คาดว่าจะอยู่ในกรอบ 1,540-1,560 จุด โดยบรรยากาศการลงทุนค่อนไปในทางลบ เม็ดเงินไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงระยะสั้นหลังตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนเดือน ก.ค. ของสหรัฐฯพุ่งขึ้น 324,000 ตำแหน่ง ซึ่งสูงกว่าตลาดคาดมากทำให้ตลาดกังวลว่า Fed อาจต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยฯ ต่อ ขณะเดียวกันยังหนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี พุ่งขึ้นทะลุ 4% อีกครั้ง 

ทั้งนี้ กลุ่มพลังงานต้น-กลางน้ำคาดว่าจะชะลอตัวในระยะสั้นตามราคานำ้มันดิบที่พักฐานเมื่อคืนที่ผ่านมา 

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยในประเทศวันนี้ติดตามพรรคเพื่อไทยแถลงพรรคร่วมรัฐบาลช่วงบ่ายหลังจากเมื่อวานนี้แถลงยกเลิก MoU 8 พรรคแล้ว  รวมถึงศาลรัฐธรรมนูญจะรับ/ไม่รับเรื่องปมห้ามเสนอชื่อคุณพิธาซ้ารวมถึงการโหวตเลือกนายกฯในวันที่ 4 ส.ค. 

โดยเรายังคงสมมติฐานว่าปัจจัยการเมืองและการตั้งรัฐบาลจะได้ข้อสรุปภายในเดือนนี้ ซึ่งคาดว่าจะเป็นบวกต่อตลาดทุนในระยะถัดไปจากความเชื่อมั่นนักลงทุนที่เพิ่มขึ้น และมีโอกาสหนุนกระแสเงินทุนต่างชาติให้พลิกกลับมาไหลเข้าอีกครั้งส่วนด้านผลประกอบการไตรมาส 2/2023 ของบริษัทจดทะเบียนที่จะทยอยประกาศออกมาในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้า ภาพรวมไม่ได้เป็นไตรมาสที่โดดเด่น ดังนั้นจึงต้องเน้นกลยุทธ์ Selective กลุ่มฯ หรือหุ้นที่มีกำไรแข็งแกร่งและแนวโน้มดีต่อในครึ่งปีหลังนี้ 

หุ้นเด่นเดือน ส.ค. ได้แก่ BA, BBL, NSL, RBF, TACCa

ที่มา – บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย, บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส

อ่านเพิ่มเติม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา