ขณะที่รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล กำลังจัดทัพทีมเศรษฐกิจ สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ได้เสนอชุดมาตรการเร่งด่วนแบบ “Quick Win” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี โดยชี้ว่าภาคค้าปลีกที่มีมูลค่ากว่า 4 ล้านล้านบาท เป็นหัวใจสำคัญที่สามารถสร้างแรงส่งให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ทันที
ณัฐ วงศ์พานิช ประธานสมาคมฯ ระบุว่า มาตรการที่เสนอถูกออกแบบมาให้ดำเนินการได้ทันทีและเห็นผลเป็นรูปธรรม โดยครอบคลุม 3 ด้านหลัก ดังนี้
1. กระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ (Spending Boost)
เพื่ออัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจโดยตรงและสร้างผลกระทบแบบทวีคูณ (Multiplier Effect)
- โครงการ “คนละครึ่ง” ฉบับอัปเกรด: เสนอให้เพิ่มวงเงินใช้จ่ายต่อวันเป็น 300 บาท (เดือนละ 1,500 บาท เป็นเวลา 2 เดือน) และขยายให้ครอบคลุมร้านค้าทุกประเภทโดยไม่มีเงื่อนไขซับซ้อน เพื่อให้เม็ดเงินกระจายอย่างทั่วถึง
- โครงการ “Easy e-Receipt” เฟส 2: เดินหน้าโครงการลดหย่อนภาษีช่วงปลายปี โดยให้วงเงินสูงสุด 100,000 บาทต่อคน เป็นเวลา 3 เดือน (ต.ค.-ธ.ค.) คาดว่าจะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนกว่า 1 แสนล้านบาท
2. ปั้นไทยสู่ ‘สวรรค์แห่งการช้อปปิ้ง’ (Shopping Paradise)
เพื่อเพิ่มการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
- ลดภาษีนำเข้าสินค้าไลฟ์สไตล์: เสนอให้ลดภาษีจาก 20-30% ซึ่งสูงที่สุดในอาเซียน ลงมาเหลือ 10-15% เพื่อให้ราคาสินค้าแข่งขันกับสิงคโปร์และฮ่องกงได้ (ซึ่งมีอัตราภาษี 0%)
- คืน VAT ให้นักท่องเที่ยวทันที (Instant VAT Refund): ทดลองให้นักท่องเที่ยวสามารถรับเงินคืนภาษี 7% ได้ทันที ณ ร้านค้าที่ร่วมรายการ เมื่อซื้อสินค้าขั้นต่ำ 3,000 บาท เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายต่อเนื่อง
- ขยายวีซ่านักท่องเที่ยวรัสเซีย: เสนอให้ขยายระยะเวลาพำนักจาก 30 วัน เป็น 45-60 วัน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพที่นิยมพำนักระยะยาวและมีกำลังซื้อสูง
3. เพิ่มความยืดหยุ่นตลาดแรงงาน
- ส่งเสริมการจ้างงานรายชั่วโมง: ผลักดันให้เกิดการจ้างงานแบบรายชั่วโมง เพื่อช่วยลดปัญหาการว่างงานในกลุ่มนักศึกษาและผู้สูงอายุ ขณะเดียวกันก็ช่วยให้ผู้ประกอบการบริหารจัดการต้นทุนและกำลังคนในช่วงเวลาเร่งด่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สมาคมผู้ค้าปลีกไทยเชื่อมั่นว่า ข้อเสนอทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน ตั้งแต่ผู้บริโภค, SMEs, เกษตรกร ไปจนถึงภาคแรงงาน และพร้อมร่วมมือกับรัฐบาลเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา