อุตสาหกรรมหนังไทยปี 2568 ถือเป็นช่วงเวลาที่น่าจับตามองที่สุดอีกครั้งในรอบสิบปี ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดจากฝั่งฮอลลีวูดที่กลับมาพร้อมไลน์อัปจัดเต็มหลังโควิด-19
แต่หนังไทยก็ยังมีที่ยืนในตลาดบ้านเรา และเริ่มขยายความเจ๋งไปสู่ตลาดโลกได้จริงจัง โดยเฉพาะในอาเซียน และล่าสุดยังได้โอกาสกลับไปเจาะตลาดยุโรปที่ห่างหายไปนาน
บนเวทีเสวนา ITD 2025 และในการพูดคุยกับ Brand Inside ‘เป็ด-ทศพล ทิพย์ทินกร’ Director of Content จากค่าย GDH หรือผู้เขียนบท ‘หลานม่า’ เล่าให้ฟังถึงโอกาส และความท้าทายที่วงการหนังไทยต้องเจอ พร้อมมองภาพอนาคตของอุตสาหกรรมนี้
ปรากฏการณ์ ‘หลานม่า’ ทำให้โลกหันมามองหนังไทยอีกครั้ง
‘ทศพล’ ยอมรับว่า ปรากฏการณ์จาก ‘หลานม่า’ ทำให้ “หนังไทยไปได้ไกลระดับโลก” เพราะนอกจากเข้าชิง ‘ออสการ์’ แล้ว ยังทำรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ไทย โดย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2568 รายได้จากทั่วโลกสูงถึง 2,000 ล้านบาท
ซึ่งตลาดต่างประเทศที่หันมาสนใจหนังไทยมากขึ้น คือ ‘อาเซียน’ โดยเฉพาะใน ‘เวียดนาม’ ที่ผู้ชมเข้าใจมุขตลก และอินกับวัฒนธรรมไทยแบบไม่ต้องอธิบายเยอะ จนทำให้เวียดนามถูกมองว่าเป็นตลาดที่มาแรงสุดในภูมิภาค
ขณะที่ ‘อินโดนีเซีย’ ยังเปิดกว้าง โดยเฉพาะแนวสยองขวัญที่ตรงกับรสนิยมคนดู ส่วน ‘จีน’ ก็เป็นอีกตลาดน่าสนใจ เพราะมีการซื้อลิขสิทธิ์หนังไทยไปรีเมกหลายเรื่อง ทั้ง ‘ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้’ และ ‘คิดถึงวิทยา’
สิ่งที่น่าดีใจอีกอย่างคือ หนังไทยได้กลับไปยุโรปอีกครั้งในรอบสิบกว่าปี หรือตั้งแต่ช่วง ‘องค์บาก’ และ ‘ต้มยำกุ้ง’
โดย ‘หลานม่า’ ถูกนำไปฉายในฝรั่งเศส ถือเป็นสัญญาณว่า ผู้จัดยุโรปเริ่มหันกลับมามองศักยภาพหนังไทย แม้จะยังไม่ถึงขั้นบุกตลาดได้เต็มตัว แต่ก็แสดงให้เห็นว่าคอนเทนต์จากไทย ยังดึงดูดและสร้างรายได้จริง
เมื่อเทียบกับยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่างจีน เกาหลีใต้ หรือญี่ปุ่นที่มีทุนหนุนมหาศาล หนังไทยอาจสู้เรื่องเงินไม่ได้ แต่ ‘ทศพล’ ย้ำว่าจุดแข็งของไทยคือ ‘เอกลักษณ์เฉพาะ’ การเล่าเรื่องที่ต่างออกไป
เช่น การเอาเรื่องเศร้ามาเล่าแบบขำๆ หรือภาพบรรยากาศงานศพที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ และการเล่นไพ่ สิ่งเหล่านี้คือเสน่ห์ที่ประเทศอื่นไม่มี และเป็นสิ่งที่ผู้ชมต่างชาติสัมผัสได้
เศรษฐกิจไม่ดี สตรีมมิ่งมาแรง ทำอายุขัยหนังในโรงสั้นลงมาก
ท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่ ส่งผลให้คนดูหนังในโรงภาพยนตร์น้อยลง เพราะค่าครองชีพพุ่งสูง บวกกับค่าตั๋วในกรุงเทพมหานครที่เฉลี่ย 300-400 บาท ทำให้ผู้ชมเลือกเฉพาะเรื่องที่คิดว่าคุ้มจริง
นี่จึงเป็นแรงกดดันให้ผู้สร้างต้องมั่นใจว่า หนังแต่ละเรื่องจะดึงดูดตั้งแต่วันแรก ไม่งั้นก็เสี่ยงถูกลดรอบ หรือหลุดโปรแกรมภายในไม่กี่วัน
ขณะเดียวกัน ต้นทุนก็สูงขึ้นจากเงินเฟ้อ และการทำหนังให้ได้มาตรฐานสากล แต่ถ้าเจาะตลาดต่างประเทศได้ รายได้ก็จะช่วยชดเชยความเสี่ยงเหล่านี้
อีกปัญหาคือ อายุการฉายในโรงที่สั้นลงมาก ‘ทศพล’ เล่าให้ฟังว่า จากเดิมที่หนังหนึ่งเรื่องฉายได้เป็นเดือน แต่ตอนนี้ ถ้ากระแส “ไม่เปรี้ยงพอ” ก็อยู่ได้ไม่ถึงสี่วัน หรือถูกลดเหลือรอบ 10 โมงเช้า และ 2 ทุ่ม
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้องแข่งกับ ‘สตรีมมิ่ง’ ที่มีคอนเทนต์มหาศาลให้เลือกดูตลอดเวลา บางคนมองว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าไปดูหนังในโรงแล้ว เพราะสุดท้าย เดี๋ยวก็ถูกฉายบนสตรีมมิ่งอยู่ดี
ทว่าสำหรับ GDH ‘ทศพล’ บอกว่า ‘โรงหนัง’ ก็ยังคงเป็นเป้าหมายหลัก เพราะตนเชื่อว่า หากหนังเรื่องนั้นๆ สามารถถ่ายทอดออกมาได้ตรงใจคนดู ยังไงพวกเขาก็พร้อมที่จะเสียเงินเข้าไปดูหนังในโรงแน่นอน
ส่วนสตรีมมิ่งเป็นแค่ช่องทางเสริมหลังจากนั้น ไม่ใช่ว่าไม่ให้ความสำคัญเลย แต่เพียงไม่ใช่เป้าหมายหลักของ GDH รวมถึง ‘ละครคุณธรรม’ ที่กำลังมาแรงมาก ซึ่ง ‘ทศพล’ บอกว่ากำลังคิดโปรเจกต์อยู่ แต่ขอดูก่อนว่าจะทำอย่างไรให้แตกต่างจากผู้เล่นรายอื่นๆ
คนไทยยังดูหนังไทยแน่นอน
แม้ว่าปีนี้โรงหนังไทยถูกถาโถมด้วยผู้เล่นจากหลากหลายช่องทาง และระบบจัดจำหน่ายแข็งแรง แต่ ‘ทศพล’ เชื่อว่าคนไทยยังอยากดูหนังไทยเสมอ
หากเรื่องราวมีคุณภาพ และสามารถแตะอารมณ์คนดูได้จริง หนังไทยก็จะเป็น ‘ตัวเลือกแรก’ ที่ผู้ชมพร้อมควักเงินซื้อตั๋วเข้าโรง
Brand Inside พาย้อนดูงบกำไร-ขาดทุนของ ‘จีดีเอช ห้าห้าเก้า’ ย้อนหลังว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน รายได้รวมและกำไรสุทธิเป็นอย่างไรบ้าง
- ปี 2567 รายได้ 676,933,340 บาท กำไร 102,925,938 บาท
- ปี 2566 รายได้ 375,933,343 บาท กำไร 12,971,786 บาท
- ปี 2565 รายได้ 341,162,978 บาท กำไร 49,543,648 บาท
- ปี 2564 รายได้ 258,484,162 บาท กำไร 41,441,787 บาท
- ปี 2563 รายได้ 366,973,589 บาท กำไร 51,275,076 บาท
ส่วนภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงที่สุด 3 อันดับแรกทั่วโลกที่ ‘ทศพล’ บอกกับ Brand Inside คือ หลานม่า ฉลาดเกมส์โกง และ พี่มาก…พระโขนง
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า แม้การแข่งขันจะรุนแรงแค่ไหน หากหนังไทยยังรักษาคุณภาพ และเสน่ห์เฉพาะตัวไว้ได้ ก็มีโอกาสยืนหยัดทั้งในตลาดบ้านเรา และเวทีโลกได้
ที่มา: ITD Southeast Asia Forum 2025
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา