อนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยที่ประชุม ครม. วานนี้ เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือระยะเร่งด่วน กลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการทั้งในและนอกระบบประกันสังคม เป็นการทดแทนมาตรการช่วยเหลือตามมติ ครม. เมื่อ 29 มิถุนายน 2564 ระยะเวลาการให้ความช่วยเหลือ 1 เดือน ประกอบไปด้วยการขยายพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด, เพิ่มประเภทกิจการรวม 9 สาขา, เพิ่มสิทธิการให้ความช่วยเหลือตามมาตรา 33, มาตรา 39 และมาตรา 40 ดังนี้
ขยายพื้นที่เป็น 10 จังหวัดที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด
จากเดิมมี 6 จังหวัด คือกรุงเทพฯ นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร เพิ่มอีก 4 จังหวัดคือ นราธิวาส ปัตตานี ยะลา สงขลา
เพิ่มประเภทกิจการรวม 9 สาขา
จากเดิมที่มี 4 หมวดกิจการ คือ ก่อสร้าง, ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร, ศิลปะ บันเทิงและนันทนาการ, กิจกรรมบริการด้านอื่นๆ เพิ่มอีก 5 กิจการ ดังนี้ ขายส่งและการขายปลีก ซ่อมยานยนต์, ขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า, กิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุน, กิจกรรมวิชาชีพ วิทยาศาสตร์และกิจกรรมทางวิชาการ และข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร
รูปแบบการให้ความช่วยเหลือ
ในระบบประกันสังคม ตามมาตรา 33
- นายจ้างและผู้ประกอบการ รัฐบาลยังคงจ่ายให้นายจ้างตามจำนวนลูกจ้าง 3,000 บาท/ หัว/ สถานประกอบการ สูงสุดไม่เกิน 200 คน
- ลูกจ้าง จ่ายเพิ่มเป็น 2,500 บาท/ คน จากที่ลูกจ้างจะได้รับตามมาตรการช่วยเหลือเดิมเพียง 2,000 บาท/ คน ซึ่งเมื่อรวมกับจ่ายชดเชยเยียวยาร้อยละ 50 ของรายได้ให้ลูกจ้าง สูงสุดไม่เกิน 7,500 บาท ระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน ทำให้ผู้ประกันตน ม. 33 สัญชาติไทย จะได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐไม่เกิน 10,000 บาท/ คน
เพิ่มสิทธิให้ผู้ประกันตนมาตรา 39 และมาตรา 40
- ที่ประกอบอาชีพอยู่ในปัจจุบัน ได้รับเงินช่วยเหลือ 5,000 บาท/ คน สำหรับผู้ที่อยู่นอกระบบ ม.33 อาชีพอิสระ ขอให้ขึ้นทะเบียนกับประกันสังคม (ม.40) ภายในเดือนกรกฎาคม 64 เพื่อจะได้รับเงินช่วยเหลือ 5,000 บาท/ คน
นอกระบบประกันสังคม
- กลุ่มผู้ประกอบการ/ นายจ้าง กรณีมีลูกจ้าง ให้ขึ้นทะเบียนกับประกันสังคม (ม.33) ภายในเดือนกรกฎาคม 2564 เพื่อที่นายจ้างจะได้รับเงินช่วยเหลือตามจำนวนลูกจ้าง 3,000 บาท/ หัว/ สถานประกอบการ สูงสุดไม่เกิน 200 คน ขณะเดียวกันลูกจ้างสัญชาติไทยจะได้รับเงินช่วยเหลือ 2,500 บาท/ คน
- กรณีที่ไม่มีลูกจ้าง ให้ลงทะเบียนเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ภายในเดือนกรกฎาคม จะได้รับเงินช่วยเหลือ 5,000 บาท/ คน ขยายมาตรการช่วยเหลือเดิมให้เฉพาะผู้ประกอบการในหมวดร้านอาหาร เครื่องดื่มในโครงการคนละครึ่งที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับประกันสังคม ได้รับการช่วยเหลือ 3,000 บาทเท่านั้น
ผู้ประกอบการในระบบ “ถุงเงิน” โครงการคนละครึ่งและโครงการเราชนะ
- ขยายความช่วยเหลือจากเดิมเฉพาะหมวดร้านอาหารและเครื่องดื่ม เป็น 5 กลุ่ม ร้านอาหารและเครื่องดื่มเป็น 5 กลุ่ม ร้านอาหารและเครื่องดื่ม, ร้าน OTOP, ร้านค้าทั่วไป, ร้านค้าบริการและกิจการขนส่งสาธารณะ (ไม่รวมกิจการขนาดใหญ่)
- กรณีที่มีลูกจ้าง ขอให้ขึ้นทะเบียนกับประกันสังคมภายในเดือนกรกฎาคม 2564 เพื่อนายจ้างจะได้รับเงินช่วยเหลือตามจำนวนลูกจ้าง 3,000 บาท/ คน/ สถานประกอบการ สูงสุดไม่เกิน 200 คนและลูกจ้างสัญชาติไทยจะได้รับเงินช่วยเหลือ 2,500 บาท/ คน
- กรณีไม่มีลูกจ้าง ให้ลงทะเบียนเป็นผู้ประกันสังคม (ม.40) ภายในเดือนกรกฎาคม 2564 เพื่อจะได้รับเงินในอัตรา 5,000 บาทต่อคน
สำหรับมาตรการช่วยเหลือด้านการเงินและลูกหนี้สถาบันการเงินนั้น กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทยจะหารือกับธนาคารพาณิชย์ เพื่อดำเนินมาตรการผ่อนปรนการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยหรือการเลื่อนงวดการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการที่เป็นลูกค้าของสถาบันการเงินด้วย หลังจากนี้ ครม. จะพิจารณามาตรการช่วยเหลือในระยะต่อไปโดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ทั่วประเทศต่อไปด้วย
ที่มา – รัฐบาลไทย
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา