เศรษฐกิจไทย ‘ดับหมด’ ทุกเครื่องยนต์ ท่องเที่ยว-อุตสาหกรรม-เกษตร

ในที่สุดวันที่ไม่อยากให้เดินทางมาถึงก็เดินทางมาถึง? เมื่อ 3 เครื่องยนต์หลักของ ‘เศรษฐกิจไทย’ ดับลงพร้อมกัน จริงหรือไม่จริง ทำไมถึงเป็นแบบนั้น Brand Inside สรุปรายงานของ KKP Research มาให้อ่านกัน

อย่างแรก อาจจะต้องเริ่มจาก KKP Research ตัดสินใจปรับลดประมาณการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ลงแล้ว จากเดิมคาดว่าจะโต 2.3% ลงมาเหลือคาดว่าจะโตเพียง 1.7% เท่านั้น

โดย KKP Research บอกว่า นอกจากปัญหาที่เรารู้ๆ กันดีอย่างกำแพงภาษีของทรัมป์ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก แล้วก็ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจไทยแล้ว

หนึ่งสิ่งที่จำต้องยอมรับคือ เศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวลงไม่ได้เกิดจากปัจจัยชั่วคราว แต่เกิดจาก “ปัจจัยเชิงโครงสร้าง” ที่ไม่ฟื้น แล้วพอเจอกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็ทำให้เศรษฐกิจโตต่ำกว่าคาด

หรือเรียกง่ายๆ ว่า เศรษฐกิจไทยไม่ได้ชะลอตัวเพราะนโยบายทรัมป์อย่างเดียวเหมือนที่หลายคนคิด แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมมาอย่างต่อเนื่อง

ไม่นับการท่องเที่ยว ‘เศรษฐกิจไทย’ อยู่ในภาวะถดถอยแล้ว

อันนี้หลายคนอาจไม่ทันสังเกตเห็น แต่ถ้าไม่นับรวมท่องเที่ยวด้วยจะเห็นว่า เศรษฐกิจไทยในส่วนที่เหลือเติบโตติดลบมาตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปี 2565 และกลับมาโตเป็นบวกเล็กน้อยใกล้เคียงศูนย์
ในช่วง 2 ไตรมาสล่าสุด เรียกง่ายๆ คือ เศรษฐกิจในประเทศอยู่ในภาวะถดถอยไปแล้ว

ส่วน ‘การท่องเที่ยว’ ก็ไม่ได้ส่งผลบวกไปสู่เศรษฐกิจในภาพใหญ่ได้มากเท่าที่ควรอีกแล้ว แต่ความร้ายแรงของเรื่องนั้นไม่ได้จบลงแค่นั้น เพราะจริงๆ แล้ว 3 เครื่องยนต์ของเศรษฐกิจไทยกำลังชะลอตัวลงพร้อมๆ กัน

เมื่อเครื่องยนต์ของ ‘เศรษฐกิจไทย’ ดับลงพร้อมกัน

โดย 3 เครื่องยนต์หลักที่ KKP Research พูดถึง ได้แก่ ภาคการท่องเที่ยว ภาคอุตสาหกรรม และภาคเกษตรกรรมนั่นเอง หากเจาะลงไปในแต่ละตัวจะพบว่าทุกเครื่องยนต์ต่างกำลังชะลอตัวลงหมด

1) ภาคการท่องเที่ยว : ปีนี้เราเริ่มเห็นภาคการท่องเที่ยวชะลอตัวลง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่นิยมไปเที่ยวประเทศอื่นแทนมาไทย ภาคการท่องเที่ยวที่เคยเป็นแรงส่งหลักทั้งหมดของเศรษฐกิจในช่วงปี 2565-2567 จึงเริ่มไม่ส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้แล้ว

2) ภาคอุตสาหกรรม : เจอกับปัญหาเชิงโครงสร้างทำให้หดตัวมาตั้งแต่ปี 2565 แล้ว พอมาเจอกับการประกาศขึ้นภาษีของทรัมป์ก็ทำให้ยิ่งฟื้นตัวยากขึ้นไปอีก

3) ภาคเกษตรกรรม : ข้อมูลการส่งออกภาคเกษตรสะท้อนหดตัวลงแรง โดยเฉพาะ ‘ข้าว’ หลังจาก
อินเดียกลับมาส่งออกข้าวขาวได้ในปีนี้ โดยการส่งออก ‘ข้าวขาว’ ติดลบเกือบ 30% ในไตรมาสแรก เมื่อรายได้ภาคเกษตรชะลอตัวลง การบริโภคในประเทศก็จะชะลอลงตาม

ประเทศนี้จะไม่สามารถกลับไปโต 3% ได้อีกแล้ว?

KKP Research บอกว่าจากการประเมินข้อมูลเศรษฐกิจในฝั่งอุปทานพบว่า “ค่อนข้างยากที่จะเห็นเศรษฐกิจไทยกลับไปเติบโตที่ 3% แม้จะไม่มีมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐ ฯ ก็ตาม”

โดยอธิบายว่าถ้าต้องการให้เศรษฐกิจไทยกลับไปรักษาระดับการเติบโตให้ใกล้เคียง 3% สิ่งที่จะต้องเกิดขึ้น คือ

กรณีแรก ภาคการท่องเที่ยวต้องขยายตัวมากปีละ 7-10 ล้านคนเหมือนช่วงที่จีนเข้ามาเที่ยวใหม่ๆ หรือนักท่องเที่ยวขยายตัวถึง 70 ล้านคนในปี 2573 เพื่อชดเชยการชะลอตัวของภาคอุตสาหกรรม

กรณีสอง ภาคการผลิตไทยต้องกลับไปโตเฉลี่ยปีละประมาณ 5% เหมือนช่วงปี 2543 ก่อนที่การท่องเที่ยวจะขยายตัวแบบก้าวกระโดด แต่เป็นไปได้ยากเพราะหลังโควิด ภาคการผลิตโตเฉลี่ยเพียง -0.59% ต่อปี

กรณีสุดท้าย ใช้ภาคเกษตรเป็นตัวนำทางเศรษฐกิจ แต่แทบเป็นไม่ได้ เพราะมีขนาดเล็กเกินไป คิดเป็น 8% ของ GDP แถมในปัจจุบันการส่งออกภาคเกษตรก็ติดลบ เพราะข้าวไทยไม่สามารถแข่งขันกับราคาข้าวอินเดียได้

จะเห็นว่าทั้งสามกรณีล้วนก็ยากไปหมด นอกจากนั้น ปัญหาเศรษฐกิจไทยยังถูกตอกย้ำจาก ‘เศรษฐกิจในประเทศ’ ที่อยู่ในภาวะเปราะบาง จากหนี้เสียในภาคธนาคารสูงขึ้นต่อเนื่อง หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง และและอัตราดอกเบี้ยตอนนี้ไม่ได้ผ่อนคลายให้สินเชื่อโตได้

เศรษฐกิจไทยจะโตต่ำลงๆ ถ้านโยบายไม่เปลี่ยนแปลง

สุดท้ายทาง KKP Research สรุปออกมาเป็น 3 ข้อสังเกตที่มีต่อเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน

1) ปีหน้าจะไม่เหลือแรงส่งแล้ว : ปี 2568 เป็นต้นไปจะ “ไม่เหลือแรงส่ง” ให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อีกแล้ว และยังยากที่แต่ละเซกเตอร์จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำการเติบโตเหมือนอดีต ดังนั้น GDP จึงจะโตต่ำกว่า 2%

2) ไม่ใช่ปัญหาระยะสั้น : ภาคเศรษฐกิจชะลอตัวลงไม่ได้เกิดจากปัจจัยระยะสั้นอย่างทรัมป์อย่างเดียว แต่เป็นภาพสะท้อนของปัญหาระยะยาวด้วย

3) นอกประเทศไม่ช่วย ในประเทศอ่อนแอ : เศรษฐกิจในประเทศไทยตอนนี้อ่อนแอจากหนี้ครัวเรือน แต่โลกผ่านจุดสูงสุดของโลกาภิวัฒน์แล้ว ทำให้ไทยไม่เหลือแรงส่งจากทั้งในและต่างประเทศ

จนกลายมาเป็นคำถามต่อผู้วางนโยบายเศรษฐกิจของไทยว่า “เศรษฐกิจไทยจะโตต่อไปได้อย่างไรในช่วงหลังจากนี้?”

ไม่ยึดติดกับนโยบายเดิมๆ ต้องปฏิรูปเชิงโครงสร้างควบคู่

“ภาครัฐต้องไม่ยึดติดกับการทำนโยบายแบบเดิมๆ และควรต้องมีการประสานด้านนโยบาย” คือคำแนะนำของ KKP Research โดยยกตัวอย่างมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ภายใต้แนวคิด Abenomics เพื่อตอบสนองต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างยืดเยื้อ ซึ่งถูกจัดวางภายใต้กรอบ ‘ลูกศรสามดอก’ อันประกอบด้วย

  • นโยบายการเงินผ่อนคลาย เน้นเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ
  • นโยบายการคลังแบบขยายตัว
  • การปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจ

เพราะบทเรียนของญี่ปุ่นเป็นตัวอย่างว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องมีความครบถ้วนทั้งในมิติของระยะสั้นและระยะยาว และต้องมีทั้งนโยบายด้านอุปสงค์และนโยบายด้านโครงสร้าง การใช้นโยบายการเงินหรือการคลังเพียงอย่างเดียวไม่สามารถเปลี่ยนทิศทางของเศรษฐกิจได้ หากขาดการปฏิรูปเชิงโครงสร้างควบคู่กันไป

รายงานชิ้นนี้ของ KKP Research มีชื่อว่า “ทำอย่างไรเพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย?” จึงอยากชวนทุกคนมาร่วมกันคิดต่อว่าในมุมมองของเราจะทำยังไงถึงจะฟื้นเศรษฐกิจไทยให้กลับไปโตแบบอดีตได้บ้าง?

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา