การทำธุรกิจโดยเน้นเรื่อง ESG คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญองค์กรยุคนี้ เพราะนอกจากสินค้า หรือบริการที่ดี ตอบโจทย์ผู้ซื้อ และคู่ค้าได้ ยังต้องมีแผนการทำธุรกิจอย่างยั่งยืนเป็นอีกจุดขายเช่นกัน
บมจ. ไทยเบฟเวอเรจ คืออีกองค์กรที่เร่งเครื่องเรื่องนี้ผ่านวิสัยทัศน์ Passion 2025 ไล่ตั้งแต่การปรับปรุงภายในองค์กร การร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ต่าง ๆ รวมถึงขับเคลื่อนแพลตฟอร์มสาธารณะเพื่อเดินทุกเรื่องไปด้วยกัน
รายละเอียดของแผนดังกล่าวจะเป็นอย่างไร ต้องใจ ธนะชานันท์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานความยั่งยืน และกลยุทธ์ บมจ. ไทยเบฟเวอเรจ ได้อธิบายไว้อย่างน่าสนใจดังนี้
ไทยเบฟฯ กับการเดินหน้าเรื่องความยั่งยืน
ต้องใจ ธนะชานันท์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานความยั่งยืน และกลยุทธ์ บมจ. ไทยเบฟเวอเรจ เล่าให้ฟังว่า เป้าหมายการเดินหน้าเรื่องความยั่งยืนของบริษัทเริ่มจากการบริหารจัดการภายในองค์กร ตั้งแต่การบริหารความเสี่ยง และความร่วมมือร่วมใจกันภายใน เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ผ่านการแบ่งเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม เช่น นโยบาย Net Zero และการบริหารจัดการน้ำอย่างถูกต้อง กับเรื่องสังคม เช่น ความเป็นอยู่ของพนักงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องกับองค์กร รวมถึงโครงการบริจาคผ้าห่ม ซึ่งทั้งหมดนี้จะขยายสู่การทำงานร่วมกับพาร์ตเนอร์หลายภาคส่วน รวมถึงการขับเคลื่อนแพลตฟอร์มสาธารณะเพื่อขับเคลื่อนเรื่องนี้ไปด้วยกัน
ไทยเบฟเวอเรจ จะใช้ 6 เสาหลักในการขับเคลื่อนสังคมที่ดี คือ การศึกษา, สุขภาพ, กีฬา, ศิลปะ และวัฒนธรรม, การพัฒนาสังคม และความยั่งยืน เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายองค์กรแห่งความยั่งยืน โดยตัวอย่างก่อตั้งองค์กรเพื่อช่วยเคลื่อนเรื่องนี้มีทั้ง Thailand Supply Chain Network, CONNEXT ED และงาน Sustainability Expo
เปิดความหมาย ESG ในมุม ไทยเบฟฯ
หากระบุแผนธุรกิจ ESG ตามคำนิยามของ ไทยเบฟเวอเรจ จะพบว่า E ที่หมายถึง Environment จะเน้นเรื่อง Enabling หรือการทำให้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การเดินหน้านโยบาย Net Zero ให้เกิดขึ้นภายในปี 2040, การคืนน้ำกลับสู่ธรรมชาติ 100% ภายในปี 2040
ส่วน S ที่หมายถึง Social จะเน้นเรื่อง Sustainability ตั้งแต่คะแนนการร่วมมือของพนักงานองค์กรที่มีคะแนนมากกว่า 90% ภายในปี 2030, การจำหน่ายเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 80% ของยอดขายสินค้าดังกล่าวจะมาจากเครื่องดื่มสุขภาพ
ส่วน G ที่หมายถึง Governance จะเน้นเรื่อง Growth หรือการเติบโตอย่างมีคุณธรรม ไม่ว่าจะเป็น การยกระดับการจัดการของทั้งองค์กรให้ดีขึ้น รวมถึงซัพพลายเออร์ต่าง ๆ ของบริษัทจะร่วมมือทางธุรกิจกันได้ก็ต่อเมื่อมีการทำธุรกิจอย่างมีจรรยาบรรณ เป็นต้น
เจาะลึกแต่ละเรื่อง เริ่มที่ลดการปล่อยมลพิษ
หากเจาะลึกแต่ละโครงการในแผนความยั่งยืนจะพบว่า การลดการปล่อยมลพิษผ่านการบริหารจัดการพลังงานของ ไทยเบฟเวอเรจ ค่อนข้างน่าสนใจ โดยในปี 2022 มีบริษัทในเครือที่ได้รับการรับรองเรื่อง Carbon Footprint 17 แห่ง พร้อมกับ 76 สินค้าที่ได้รับรองเรื่องดังกล่าวเช่นกัน
ทั้งยังใช้พลังงานหมุนเวียนในธุรกิจกว่า 42.8% โดยภายในปี 2030 ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 50% ผ่านการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ และก๊าซชีวภาพเข้ามาช่วยผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับหน่วยธุรกิจต่าง ๆ ซึ่งการทำแบบนี้ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือคาร์บอนไดออกไซด์ ได้กว่า 44,000 ล้านตัน ในปี 2022
นอกจากนี้ในมุมบรรจุภัณฑ์ ไทยเบฟเวอเรจ ยังเร่งเครื่องเดินหน้าสร้าง Value Chain แบบครบวงจร หรือตั้งแต่การผลิตแบบลดการปล่อยมลพิษ, การเก็บบรรจุภัณฑ์กลับมารีไซเคิล และการออกแบบบรรจุภัณฑ์ใหม่ที่รักโลกมากกว่าเดิม โดยมี TBR หรือ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ รีไซเคิล จำกัด คอยรับผิดชอบเรื่องนี้
เมื่อเป็นองค์กรเกี่ยวกับน้ำ เรื่องน้ำก็ยิ่งสำคัญ
ต้องใจ ย้ำว่า ด้วย ไทยเบฟเวอเรจ เป็นองค์กรเกี่ยวกับน้ำ ทำให้ปี 2023 และหลังจากนี้ไป เรื่องที่เกี่ยวกับน้ำจะถูกให้ความสำคัญมากขึ้น โดยในปี 2022 บริษัทได้ลดการใช้น้ำ 13.4% นำน้ำกลับมาหมุนเวียนใช้ใหม่ 5.13% และรีไซเคิลน้ำอีก 7.28%
ดังนั้นในปี 2023 ทุกโรงงานของบริษัทต้องได้การรับรอง Water Sustainability Assessment และมีเป้าหมายสูงสุดคือ คืนน้ำดี 100% ให้กับธรรมชาติที่ใช้ในการผลิตสินค้าต่าง ๆ ภายในปี 2040 ซึ่งทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่เริ่มจากในองค์กร และสื่อสารเรื่องนี้ผ่านการเข้าใจที่ง่ายเพื่อให้ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กรปฏิบัติตาม
ล่าสุด ไทยเบฟเวอเรจ เป็นส่วนหนึ่งของการจัดงาน Sustainability Expo 2023 หรือ SX ผ่านการร่วมมือกับหลากหลายองค์กรชั้นนำ เช่น บมจ. ไทยยูเนี่ยน, บมจ. พีทีที โกลบอล เคมีคอล และ บมจ. ปูนซีเมนต์ไทย เพื่อแสดงนวัตกรรม และให้ความรู้เกี่ยวกับความยั่งยืน โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 3.2 แสนคน
อ้างอิง // Thaibeverage
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา