เมื่อวันศุกร์ที่ 20 มกราคมก่อนช่วงตรุษจีนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทไทยแข็งตัวขึ้นมาอยู่ที่ 32.65 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ สูงที่สุดในรอบ 9 เดือนนับจากที่เริ่มแข็งค่าขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปี 2023 หลังภาคท่องเที่ยวกระเตื้องขึ้นเพราะนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศ
ค่าเงินบาทไทยอ่อนค่าลงต่ำสุดในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว อยู่ที่ 38.50 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ นับว่าต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 16 ปี ก่อนที่จะเริ่มแข็งค่าขึ้น 5.8% ในช่วงต้นปี 2023 นี้แซงหน้าเงินวอนของเกาหลีใต้ เงินรูปีของอินโดนีเซีย และเงินริงกิตของมาเลเซียที่แข็งค่าขึ้นต่ำกว่า 3%
สาเหตุที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาจากที่นักท่องเที่ยวจีนเริ่มเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยหลังจากจีนเปิดประเทศในวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนเริ่มทยอยกันซื้อเงินบาท โดยไทยเป็นประเทศที่ได้รับการค้นหาจากนักท่องเที่ยวจีนมากที่สุดผ่านทางเว็บไซต์จองตั๋วเดินทางและที่พักอย่าง Agoda และ Trip.com โดยรัฐบาลคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาอย่างน้อย 5 ล้านคนในปีนี้ เทียบกับ 11 ล้านคนในปี 2019
คาดการณ์ว่าค่าเงินบาทจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในปีนี้ขณะที่นักลงทุนมองว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะอ่อนค่าลงอีกและธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาจะผ่อนปรนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 2-3 ครั้งในปีนี้
ส่วนทางด้านหุ้น นายสรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย SCB Chief Investment Officer (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์เผยว่า ในอีกไม่กี่วัน เงินหมุนเวียนในตลาดตราสารหนี้จะมีมูลค่า 60,000 ล้านบาท ตลาดหุ้นจะมีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทและจะทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอีก
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 8.47% ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมาหลังมีการผ่อนคลายนโยบายป้องกันโควิด-19 คาดว่าหุ้นธุรกิจบริการด้านสุขภาพ การขนส่ง การค้าปลีก ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มจะเติบโตได้ดีกว่าหุ้นประเภทอื่นๆเพราะค่าใช้จ่ายในสินค้าอุปโภคได้รับการอุดหนุนผ่านการลดหย่อนภาษีจากภาครัฐจนถึงเดือนกุมภาพันธ์นี้
JP Morgan บริษัทการเงินและการลงทุนคาดการณ์ว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะขึ้นถึง 1,800 จุด ขณะที่ธนาคารไทยพาณิชย์คาดการณ์ต่างกันเล็กน้อยว่าจะอยู่ที่ 1,750 จุด ส่วนดัชนีราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 3.2% อยู่ที่ 1682 ในวันนี้ (23 มกราคม 2023)
ขณะที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกังวลว่าการแข็งตัวของค่าเงินบาทจะส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ แต่นักวิเคราะห์ของธนาคารไทยพาณิชย์มองว่าการเปิดประเทศของจีนจะช่วยลดความเสี่ยงเรื่องการส่งออกชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม ด้านการเมืองอาจเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพราะจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 7 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ และอาจจะใช้เวลานานในการจัดตั้งรัฐบาลเพราะมีแนวโน้มว่าจะไม่มีพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งที่ได้รับเสียงข้างมากแบบชนะขาด
นอกจากนี้ สภาพคล่องของตลาดหุ้นอาจจะลดลงจากการกลับมาเก็บภาษี 0.055% จากราคาขายหลักทรัพย์ที่ได้รับการยกเว้นมานาน โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในเดือนพฤษภาคมและจะเพิ่มเป็น 2 เท่า เป็น 0.11% ในปี 2024
ที่มา – Nikkei Asia
อ่านเพิ่มเติม
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา