เมื่อบริษัทเทคโนโลยีเลือกที่จะทำบริการทางการเงิน แต่เลือกไม่เป็น “ธนาคาร”

ปัจจุบัน บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่เริ่มขยับเข้ามาสู่ระบบการชำระเงินและธนาคารมากยิ่งขึ้น ซึ่งบทความจาก CNBC วิเคราะห์ไว้น่าสนใจว่าตอนนี้บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่สนใจธุรกิจการเงิน แต่จะพยายาม “เลี่ยง” การเป็นธนาคาร

สำหรับ Apple นั้น ทางบริษัทเริ่มต้นมาจากการเปิดตัวระบบจ่ายเงิน Apple Pay ตามมาด้วยบัตรเครดิต Apple Card โดยร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับ Goldman Sachs ในขณะที่ Google ก็มีระบบจ่ายเงิน Google Pay และกำลังสนใจจะทำระบบบัญชีเงินฝาก ซึ่งตอนนี้มีรายงานว่าน่าจะร่วมมือกับ Citibank และเครดิตยูเนียนในแคลิฟอร์เนีย

ฟากอีคอมเมิร์ซอย่าง Amazon ก็ไม่น้อยหน้า เตรียมนำ Amazon Pay บุกตลาดออฟไลน์ และเคยมีข่าวลือว่ากำลังหารือกับ JPMorgan เพื่อทำบัญชีเงินฝากภายใต้แบรนด์ตัวเองเช่นกัน

ส่วนโซเชียลเน็ตเวิร์คอย่าง Facebook ก็มี Libra ที่พันธมิตรหลายรายเริ่มทยอยถอนตัวจนตอนนี้เริ่มพับแผน ก็ยังมีเปิดตัวระบบจ่ายเงิน Facebook Pay ด้วยเช่นกัน

สิ่งที่น่าสนใจของบริษัทเหล่านี้คือ บริษัทเทคโนโลยีอยากทำบริการด้านการเงิน โดยจะออกแบบบัตรเอง ทำแอปเอง ทำระบบเองส่วนหนึ่ง ส่วนงานน่าเบื่อของธนาคารที่ต้องคอยทำตาม regulation จะยกให้เป็นหน้าที่ของธนาคาร

อธิบายง่าย ๆ คือบริษัทไอทีอยากจะยกงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ให้สถาบันการเงินซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านนี้อยู่แล้วรับหน้าที่นี้แทน ไม่เป็น full-stack banking หรือธนาคารเต็มตัว

ปัจจุบัน ในยุโรปมีธนาคารดิจิทัลอย่างเช่น N26 หรือ Monzo เกิดขึ้นมาแล้ว โดยเน้นกลุ่มผู้บริโภคที่อายุน้อยและชื่นชอบเทคโนโลยี ส่วนสิงคโปร์และฮ่องกงก็มีแผนจะออกใบอนุญาตธนาคารดิจิทัลให้บริษัทเทคโนโลยีสามารถให้บริการทางการเงินได้ง่ายขึ้นเช่นกัน

Sulabh Agarwal หัวหน้าฝ่ายระบบชำระเงินโลกของ Accenture ได้วิเคราะห์ไว้น่าสนใจว่าการที่บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่จะเป็นธนาคารนั้นดูไม่ค่อยจะเมกเซนส์สักเท่าไร เพราะว่าผลตอบแทนจากสินทรัพย์ในการเป็นบริษัทเทคโนโลยีดีกว่าการเป็นผู้ให้สินเชื่ออยู่แล้ว

Agarwal กล่าวว่า เขาไม่คิดว่าบริษัทไอทีขนาดใหญ่จะเป็นธนาคาร เขาคาดว่าบริษัทเหล่านี้จะสร้างบริการใหม่เพื่อเพิ่มข้อเสนอของพวกเขามากกว่า

หรือว่าง่ายๆ คือบริการทางการเงินมีไว้เพื่อดึงลูกค้าให้อยู่กับแพลตฟอร์มได้นานขึ้น เพื่อผลประโยชน์ด้านอื่นๆ เช่น Google หรือ Facebook ก็จะเป็นรายได้จากโฆษณานั่นเอง

สำหรับ Facebook นั้นอาจจะดำเนินการด้วยท่าทีที่แตกต่างจากคนอื่นพอสมควร เพราะบริษัทเลือกที่จะเปิดตัวสกุลเงินดิจิทัลใหม่ที่ชื่อว่า Libra ที่ผูกกับตะกร้าเงินและพันธบัตรรัฐบาล แต่เมื่อหน่วยงานด้านการกำกับดูแลการเงินหลายประเทศแสดงชัดเจนแล้วว่า “ไม่เอา” รวมทั้งบริษัทหลายแห่งเริ่มถอนตัว Facebook จึงต้องกลับไปแก้โจทย์อีกหลายข้อ

libra

หลังจากพับแผน Libra ไป Facebook ก็ยังคงเดินหน้าต่อโดยการเปิดตัว Facebook Pay ซึ่งเป็นแบรนด์แยกออกจาก Libra

สรุป

จากท่าทีที่ผ่านมาและน่าจะเป็นเทรนด์ต่อไป คือบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่เลือกที่จะร่วมมือโดยการเป็นพาร์ทเนอร์กับสถาบันการเงินแทนที่จะขอใบอนุญาตตั้งธนาคารของตัวเองขึ้นมาเอง โดยจุดประสงค์ของบริษัทเหล่านี้คือสร้างประสบการณ์ด้านการเงินบนแพลตฟอร์มของตัวเอง หรือเป็น Interface เพื่อเสริมกับบริการหลักของตนเองให้ผู้ใช้โดยไม่ต้องรับภาระของการเป็นธนาคาร

ที่สำคัญ ผลตอบแทนจากสินทรัพย์เมื่อเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่มีนวัตกรรมและมีผู้ใช้งานอยู่ในมือจำนวนมหาศาล มันสูงกว่าการเป็นธนาคารอยู่แล้ว

ที่มา – CNBC

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

คอลัมนิสต์ Brand Inside ผู้สนใจเรื่องของบริษัทเทคโนโลยี, ตลาดเงินตลาดทุน รวมถึงด้านธนาคาร และการปรับตัวด้านเทคโนโลยีมาใช้ของบริษัทต่าง ๆ