เมื่อจีนไม่ขอเป็นแค่โรงงานโลกอีกต่อไป
เพราะอนาคตของจีน คือการเป็นประเทศแห่งนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยี
จาก “Made in China” ถึง “Created in China”
ข้อความด้านบนไม่ใช่สโลแกนของทางการจีนแต่อย่างใด
หากแต่มันเป็นเพียงชุดคำที่ผุดขึ้นในหัวหลังจากได้เดินดูงาน “Taobao Maker Festival 2019” จากคำเชิญชวนของ Alibaba ให้เดินทางไปเยี่ยมชมในเมืองหางโจว ประเทศจีนเมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา
ในงานมีอะไรบ้าง?
โดยภาพรวมของงาน มีทั้งหมด 3 โซนใหญ่ๆ ได้แก่ โซนนวัตกรรม ที่นำเอาเทคโนโลยีล้ำๆ มานำเสนอ, โซนวัฒนธรรม ที่นำเอาเสื้อผ้า เครื่องประดับ และของใช้มาแสดง และโซนสุดท้ายคือ โซนรวบรวมเทรนด์และกระแส โดยมีทั้งเรื่องของอาหารการกิน เครื่องดื่ม ขนมที่แปลกใหม่ทั้งที่เคยเห็นและไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ความน่าสนใจที่สุดของงานนี้คือ “โซนนวัตกรรม-เทคโนโลยี” เนื่องจากสะท้อนภาพของอนาคตจีนได้ค่อนข้างดีทีเดียว
บทความนี้จะพาไปชมบรรยากาศภายในงานโดยเน้นไปที่โซนเทคโนโลยี พร้อมทั้งเสนอว่าสิ่งที่สังคมจีน (ในที่นี้คือ Alibaba) กำลังทำในภาพใหญ่ คือการขยับจากความภาพลักษณ์ของการเป็นโรงงานโลกในชื่อ “Made in China” ไปสู่ “Created in China” หรือประเทศแห่งนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยี
โซนนวัตกรรม-เทคโนโลยีในงาน Taobao Maker Festival 2019
- เริ่มต้นที่บูธแรกในโซนนวัตกรรม Super Human Project บูธนี้ได้รับความสนใจอย่างมากจากทั้งสื่อมวลชนและผู้เข้าร่วมงาน
เชา หวาง ผู้ก่อตั้ง Exoskeleton เทคโนโลยีชุดสวมใส่เพื่อเพิ่มพละกำลัง (Technology Wearable Robot หรือเรียกว่า Power Suit) ระบุว่า เมื่อสวมใส่เทคโนโลยีตัวนี้แล้ว จะทำให้เราสามารถดึงพลังของร่างกายมาใช้ได้มากขึ้น เช่น ใส่แล้วสามารถยกของหนักขึ้นได้มากขึ้น อีกทั้งยังทำให้ร่างกายเราไม่ให้รับบาดเจ็บจากการยกของหนัก
ในบูธนี้ยังใช้คำว่า Future of Career สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า อนาคตของอาชีพหรือการทำงานของมนุษย์ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้พละกำลังมากมายมหาศาลอีกต่อไป เพราะนวัตกรรมและเทคโนโลยีจะเข้าช่วยเสริมได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ชุดเพิ่มพลังของสตาร์ทอัพจีนรายนี้เหมาะกับการทำงานในโลจิสติกส์ โดยเฉพาะที่ต้องยกของหนักๆ ได้ถึง 2.3 ตัน และที่มากไปกว่านั้น ชุดนี้สามารถใช้ในทางการทหารได้ด้วย ซึ่งในอนาคตจะมีพัฒนาชุดนี้ไปใช้กับนักผจญเพลิงอีกด้วย
- ถัดมาคือบูธ Aircraft Parking Lot ที่นำเสนอรูปแบบการเดินทางของโลกอนาคตหรือ Future of Riding
สิ่งที่สตาร์ทอัพรายนี้เสนอคือ ในโลกอนาคตการเดินทางทั้งทางบกและทางอากาศระหว่างเมือง อาจกลายเป็นเรื่องเดียวกัน ในปัจจุบันเราได้เห็นเทคโนโลยีโดรนส่งของข้ามเมืองกันแล้ว แต่ต่อไปการขนส่งมนุษย์หรือเดินทางของมนุษย์ระหว่างเมืองอาจกลายเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม สตาร์ทอัพรายนี้มองว่า หากในอนาคตจะมีการนำเอาเทคโนโลยีตัวนี้ไปใช้จริง อาจจะต้องมีการพูดคุย/ถกเถียงถึงข้อจำกัดทางด้านกฎหมาย
- บูธนี้คือ AI กับอนาคตเรื่อง “เสียง” และ “ภาษา”
หนึ่งในอุปสรรคของการสื่อสารคือภาษา บูธนี้นำเสนอ AI ที่แปลภาษาได้อย่างรวดเร็ว และที่สำคัญด้วยพลังของ AI ที่พัฒนาขึ้นจนเก่งพอ จะสามารถแปลภาษาจากหนึ่งภาษาไปสู่หลายสิบภาษาได้แบบเรียลไทม์
ข้อดีของการแปลหลายๆ ภาษาได้แบบเรียลไทม์จะนำไปสู่การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการประชุม การเสวนา และยังรวมไปถึงการนำเสนอข่าว (news) ที่อาจใช้ AI แปลภาษาและนำเสนอได้แบบเรียลไทม์ด้วย
- บูธ Shark Drive นำเสนอนวัตกรรมโดรนสำหรับสำรวจโลกใต้น้ำ
บูธนี้เป็นของ DJI ที่นำเอาโดรนใต้น้ำมาจัดแสดง โดยมีหน้าตาเหมือนฉลามและควบคุมผ่านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ซึ่ง DJI บอกว่า นี่คืออนาคตของการสำรวจโลกใต้น้ำ
- บูธ Future Meat Lab ซึ่งนำเสนอเรื่อง Future of Food
บูธนี้นำเสนอกระแสของอาหารในโลกอนาคตที่ทุกอย่างจะเป็น plant-based meat หรือเนื้อที่ไม่ใช่เนื้อ เพราะทุกวัตถุดิบสังเคราะห์มากจาก “พืช” แต่มีเนื้อสัมผัสและรสชาติที่ใกล้กับเนื้ออย่างมาก
การนำเสนอเรื่อง “อนาคตของอาหาร” สอดคล้องกับสถิติที่ระบุว่า ประชากรโลกในปัจจุบันที่มีอยู่กว่า 7.7 พันล้านคนจะเพิ่มขึ้นเป็น 9 พันหรือ 1 หมื่นล้านในอนาคตอันใกล้ และแน่นอนว่าการสร้างทางเลือก (ที่อาจจะเป็นทางหลักในอนาคต) อย่างการทำวิจัยและนำมาสร้างเป็นโมเดลธุรกิจของอาหารที่มีลักษณะคล้านเนื้อสัตว์แต่ที่มีที่มาจากพืชล้วนๆ จะตอบโจย์ปัญหาของโลกในอนาคต
อนาคตของจีน อาจเป็นอนาคตของอีกหลายที่ทั่วโลก
คริส ตง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด Alibaba Group ระบุว่า เป้าหมายของการสร้างงาน Taobao Maker Festival 2019 ต้องการให้เป็นพื้นที่หลักทางวัฒนธรรม นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ เพราะมีทั้ง maker และ creator รุ่นใหม่ๆ ในจีนมารวมตัวกัน และทั้งหมดนี้จะทำให้จีนก้าวพ้นจากประเทศที่เป็นฐานของการผลิต (โรงงานโลก) ไปสู่ประเทศที่มีความโดเด่นของการใช้ความคิดสร้างสรรค์ ดีไซน์ และนวัตกรรมเทคโนโลยี
การฉายภาพอนาคตของจีนในงาน Taobao Maker Festival 2019 สะท้อนให้เห็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือ จีนพยายามจะบอกว่า อนาคตอยู่ที่นี่ (Future is here)
อนาคตของโลกในหลากหลายวงการจะเริ่มต้นจากจีน จีนจะเป็นผู้นำโลกในด้านการสร้างสรรค์นวัตกรรม ไม่ใช่ผู้ตามแบบเดิมที่รู้จักกันในนาม “โรงงานโลก” ที่รอให้ใครมาใช้งานสั่งให้ผลิตสินค้าอีกต่อไป
- เพราะจีนจะเป็นผู้นำโลก ด้วยวิสัยทัศย์ ด้วยเทคโนโลยี ด้วยเงินทุน และการสนับสนุนในระดับชาติจากรัฐบาลจีน
แต่ที่พูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่า “จีนจะไม่เป็นโรงงานโลก” ในความหมาย Made in China แบบ 100% เพราะถึงที่สุด จีนยังมีประสิทธิภาพสูงในการผลิตสินค้าจำนวนมหาศาลอยู่เช่นเดิม
แต่ประเด็นคือ แม้จีนจะเป็นโรงงานโลกในความหมาย Made in China แบบเดิม แต่สิ่งใหม่ที่จีนผลักดันมากจนเห็นได้ชัดคือการจะเป็น “Created in China”
- จีนจะเป็นประเทศที่โดดเด่นด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ สิ่งเหล่านี้จะกลายมาเป็นจุดแข็งของจีนในอนาคต
ดูจีนเสร็จ หันมองไทย อนาคตของเราจะเป็นอย่างไร?
ถึงวันนี้ เราปฏิเสธการเติบโตที่ยิ่งใหญ่ของจีนไม่ได้ และการเคลื่อนทิศทางของประเทศจากโรงงานโลกไปสู่ประเทศแห่งความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และเทคโนโลยี
ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า เป็นการเตรียมพร้อมต่อการลดลงของจำนวนประชากรในประเทศที่คนอายุ 15 ถึง 64 ปีจะต่ำลง ข้อมูลของ Harvard Business Review เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ปี 2015-2035 ประชากรกลุ่มที่มี productivity สูงกลุ่มนี้จะลดลง 9% และจะลดลง 20% ในปี 2050 นั่นหมายความว่า จำนวนประชากรจีนที่จะลดลงไปกว่า 200 ล้านคน ทำให้จีนไม่สามารถใช้กลยุทธ์แบบเดิมได้อีกต่อไป
- Created in China จึงเป็นคำตอบใหม่ที่เอกชนจีน รัฐบาลจีน พยายามผลักดันให้ถึงที่สุด
ทีนี้กลับมามองประเทศไทย ซึ่งเราถือเป็นประเทศที่กำลังประสบปัญหา แก่ก่อนรวย ลาออกก่อนแก่ และมีหนี้สิน แนวโน้มสังคมที่น่าห่วง นอกจากนั้นงานวิจัยเรื่อง ประชากรไทยในอนาคต ได้เปิดเผยว่า “ประชากรไทยในอนาคตเพิ่มช้าลงไปเรื่อย ๆ อีกไม่เกิน 20 ปีข้างหน้า อัตราเพิ่มของประชากรไทยจะใกล้เคียงกับศูนย์ และอาจเป็นไปได้ว่าอัตราเพิ่มประชากรลดลงไปจนต่ำกว่าศูนย์หรือติดลบ จำนวนประชากรไทยใกล้จะถึงจุดคงตัวแล้ว เมื่ออัตราเพิ่มประชากรใกล้เคียงกับศูนย์ ประชากรก็จะมีจำนวนคงตัวที่ประมาณ 65 ล้านคน ในแต่ละปี ประชากรไทยจะไม่เพิ่มหรือลดไปจากจำนวนนี้มากนัก ประชากรไทยมีจำนวนคงตัวในระยะเวลาอีกเพียงประมาณ 15 ปีเท่านั้น”
ชะตากรรมของเราในแง่นี้คล้ายกันกับอีกหลายประเทศทั่วโลกที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเช่นกัน
คำถามสำหรับเรา ในฐานะคนไทย บริษัทไทย ชาติไทย คือ “เราจะเอาอย่างไรกับโลกอนาคต”
แน่นอนว่า คำตอบไม่ได้มีหนึ่งเดียว และไม่มีคำตอบใดที่ดีที่สุดหรือถูกต้องที่สุด แต่เราต้องค้นหาให้เจอว่าจุดแข็งของเราคืออะไร จุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของเราคืออะไร และเราจะทำสิ่งนั้นให้ดีขึ้นจนคนอื่นๆ สู้และทัดเทียมยากได้อย่างไร
สิ่งนั้นอาจเป็น “ความสนุกสนาน” ที่ขึ้นชื่อของประเทศ แต่เราจะเปลี่ยนสิ่งนั้นให้เป็นโอกาสทางธุรกิจของประเทศทั้งระบบได้อย่างไร
บางที…การเริ่ม “คิด” ถึงอนาคตบ้าง ก็อาจเป็นคำตอบแรกที่เราควรทำครับ
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา