Brand Inside ได้มีโอกาสได้พูดคุยกับ พัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ถึงธุรกิจของธนาคารว่าในปัจจุบันนั้นมีอะไรบ้าง ขณะเดียวกันก็ยังรวมไปถึงเรื่องของ Digital Lending ที่ธนาคารกำลังรุกหนักอยู่ในขณะนี้ด้วย
กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ได้เกริ่นถึงเรื่องของสภาวะเศรษฐกิจไทยหลังจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ว่ากระทบกับธุรกิจอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวอย่างธุรกิจโรงแรมที่ได้รับผลกระทบ มาก และยิ่งเป็นโรงแรมขนาดเล็กจะได้รับผลกระทบหนักที่สุด เพราะไม่มีนักท่องเที่ยวเข้าพัก ถึงแม้จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาพักก็ยังไม่คุ้มกับจุดคุ้มทุน
เขาได้กล่าวว่าตอนนี้ไม่มีโรงแรมไหนในไทยที่ไม่ลดพนักงานลง หรือลดเงินเดือนด้วยซ้ำ ซึ่งธุรกิจโรงแรมนั้นแย่กว่าที่คาดไว้มาก สำหรับธนาคารกสิกรไทยได้มีโครงการที่ช่วยเหลือไปบ้างแล้วในช่วงที่ผ่านมา แต่หลังจากหมดระยะช่วยเหลือ เขามองว่าผู้ประกอบการหลายๆ รายก็ยังแบกรับผลกระทบไม่ไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเยอะๆ เช่น ภูเก็ต ฯลฯ ลำบาก
ขณะที่คนที่อยู่ในจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวนั้นหายไปเยอะมาก บางส่วนก็กลับบ้านที่ต่างจังหวัด หรือบางรายหางานใหม่ที่บ้านเกิดแต่รายได้ไม่เท่าเดิมเหมือนในอดีต ถือว่าตอนนี้ยังมีปัญหาอยู่ ปัจจุบันธนาคารกสิกรไทยมีลูกค้ากลุ่มโรงแรม 12% ของพอร์ตสินเชื่อรวม
เรื่องของการช่วยเหลือเหล่า SME นั้น เขาคาดว่าในตอนแรกธุรกิจ SME จะแย่กว่านี้ แต่ล่าสุด ลูกค้ารายย่อยกับ SME นั้นธนาคารได้ช่วยเหลือไปถึง 700,000 ล้านบาท ผ่านมาตรการต่างๆ ของธนาคาร นอกจากนี้ธนาคารได้ไปคุยกับลูกค้า SME ซึ่งตอนนี้กลับมาชำระหนี้เหมือนเดิมถึง 73% ทำให้ลูกค้าเหล่านี้ไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้
เขายังได้เล่าเสริมว่าในช่วงหลัง COVID-19 นั้นได้ให้พนักงานของแต่ละสาขาในพื้นที่ต่างๆ ได้พบปะและเข้าหาลูกค้า เพื่อทำความเข้าใจว่าความต้องการของลูกค้าแต่ละรายคืออะไร ซึ่งเขาเองได้กล่าวว่า “ลูกค้าดีกับเรามาก” และตอนนี้ลูกค้าก็ค่อนข้างแข็งแกร่งด้วย
พัชรยังย้ำว่าคนทั่วไปอาจมองว่าเราอาจดูถูกพลังของ SME มากไป และยังมองว่า SME ไทยส่วนใหญ่ไม่ได้กู้นอกระบบ และหนี้ส่วนใหญ่ของ SME นั้นเป็นหนี้มีหลักประกัน
ธนาคารกสิกรไทยถือเป็นเบอร์ 1 ในด้าน Digital Banking และกำลังรุกต่อไปยัง Digital Lending ผ่านทั้งช่องทาง K PLUS และ Partners ทำให้ลูกค้าที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อ เช่น Freelance หรือ กลุ่มคนเพิ่งเริ่มต้นทำงาน กู้เงินได้ง่ายขึ้น โดยการปล่อยสินเชื่อในปัจจุบันธนาคารต้องการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าที่ธนาคารยังเข้าไม่ถึง และพยายามจะเข้าหาใน 2 ช่องทางหลัก คือ ผ่านโทรศัพท์ 40% และ Digital Platform อีก 60% ซึ่งในช่วงที่ผ่านมายอดสินเชื่อเหล่านี้ยังถือว่าเติบโตได้ดี
ที่สำคัญตอนนี้สิ่งที่พัชรสนใจมากที่สุดคือเรื่องความแม่นยำในการให้สินเชื่อมากกว่า “ต้องพัฒนาเทคโนโลยีในการวิเคราะห์ลูกค้าว่าลูกค้าคนนี้โอเคที่จะปล่อยสินเชื่อไหม”
ทางด้านของ Digital Lending ที่เป็นโอกาสใหม่ๆ ของธนาคารกสิกรไทยนั้น พัชรได้เล่าถึงแพลตฟอร์มอย่าง LINE BK ที่ปัจจุบัน คนทั่วไปมองว่าถ้ากู้บนแพลตฟอร์มของกสิกรไทยเองนั้นอาจไม่ได้รับการอนุมัติ โดยที่มุมมองของเขานั้นในแต่ละแพลตฟอร์มมีอัตราการอนุมัติสินเชื่อไม่เท่ากัน
ปัจจุบัน LINE BK มีผู้ขอสมัครสินเชื่อ 5-6 แสนราย จากคนเปิดบัญชี 8 แสนราย นอกจากนี้พัชรยังมองว่า การโอนเงินผ่านแอปฯ คือมีแค่ LINE BK รายเดียวในตอนนี้ โดยมองจุดเด่นของ LINE BK จากการซื้อขายของแบบ Social Commerce แบบแชทๆ แล้วโอน ควรเป็นกลุ่มที่ LINE BK ได้ลูกค้ามากที่สุด และเป็นตลาดของ LINE BK ที่สำคัญ
ไม่เพียงแค่ LINE BK นั้นจะลดปัญหาของแม่ค้าออนไลน์ได้มาก แต่ตอนนี้กลายเป็นคนทั่วไปมอง LINE BK เป็นแหล่งสำหรับปล่อยสินเชื่อและมีโอกาสที่จะได้มากที่สุด โดยการปล่อยสินเชื่อของ LINE BK จะมองถึงเรื่องพฤติกรรมการใช้ LINE เช่น แม่ค้าคุยกับลูกค้า ฯลฯ และล่าสุดตอนนี้ LINE BK ได้ลูกค้าใหม่ๆ ที่ไม่ใช่ลูกค้าที่ใช้ K PLUS อยู่แล้ว
ขณะเดียวกันเขาก็ยังเล่าถึงการเป็นพันธมิตรกับแพลตฟอร์มอื่นๆ เช่น Shopee ที่มีการปล่อยสินเชื่อ หรือ GRAB ตอนนี้มีผู้ใช้งานที่ต่อกับระบบหลังบ้านของธนาคารกสิกรไทยถึง 1 ล้านราย ไว้สำหรับจ่ายเงินให้กับ GRAB
นอกจากนี้ยังมีแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่เป็นโอกาสใหม่ๆ ในการลงทุนของธนาคารอย่าง Finvest FinVest ที่ร่วมมือกับ
Lu International และทาง Robowealth ก็ทำให้การลงทุนนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น ด้วยแนวคิด “ติดปีกการลงทุนให้คุณ” (Your Wings Your Ways)
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา