นั่งคุยกับ Programmer ไทยในแดนซากุระ “ถ้างานที่ไทยไม่ท้าทาย ก็มาทำที่ญี่ปุ่นสิ”

ทีมงาน Brand Inside ได้มีโอกาสนั่งคุยกับ วีนนาท มงคลมาลย์ Programmer คนไทยที่ไปทำงานอยู่ในบริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน Mobile Application เจ้าหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่น (ด้วยข้อจำกัด ไม่สามารถเปิดเผยชื่อบริษัทได้) ได้มุมมองความคิดที่น่าสนใจ ที่สำคัญคือ Programmer ไทย มาทำงานต่างประเทศได้ไม่ยาก

สำหรับจุดเริ่มต้น วีนนาท เป็นนักเรียนทุนปริญญาโทที่มาเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น และกำลังศึกษาต่อปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัยโตเกียว (หรือที่คนไทยคุ้นๆ ในชื่อ โตได) และได้ทำงานกับบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง

คำถามจึงเกิดขึ้นว่า ถ้า Programmer คนไทย อยู่ที่ไทย อยากมาทำงานที่นี่ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง เพราะรู้มาว่าตำแหน่งงานด้านนี้กำลังเป็นที่ต้องการสูงมาก

วีนนาท มงคลมาลย์

ภาษา

การจะมาอยู่ญี่ปุ่น (หรือแม้แต่ประเทศอื่นๆ) ถ้าได้ภาษาท้องถิ่นจะทำให้ใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น ถ้าอยู่ตามเมืองใหญ่อาจจะไม่มีปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวัน เพราะว่ามีป้ายต่างๆ มีเป็นภาษาอังกฤษอยู่บ้าง หรือมีพนักงานที่พูดภาษาอังกฤษได้อยู่ แต่ว่าในการทำงานมีบริษัทอยู่ไม่เยอะนักที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก และถึงแม้จะอยู่ในบริษัทที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักก็ตาม การรู้ภาษาญี่ปุ่นจะทำให้ใช้ชีวิตได้สะดวกขึ้นอีกมาก

แต่แน่นอนว่า จะมาทำงานต่างประเทศ ภาษาอังกฤษ ก็ต้องอยู่ในขั้นที่ดีมาก แต่ถ้าอยากไปลุยแดนปลาดิบไม่ได้ภาษาญี่ปุ่นก็ลำบากอยู่ดี ดังนั้นติวเข้มภาษาญี่ปุ่นกันได้เลย หรือจะสมัครมาเรียนปริญญาโทที่นี่ก่อน เพื่อหาทางทำงานต่อก็ได้

ความลับและความเป็นส่วนตัว

หลายๆ บริษัทในญี่ปุ่นค่อนข้างให้ความสำคัญกับความลับของบริษัทมาก ดังนั้นควรระมัดระวังในการโพสท์อะไรลงบนโซเชียลเน็ตเวิร์ก หรือการถ่าย/แชร์รูปลงบนโซเชียลเน็ตเวิร์ก ยิ่งในโลกยุคปัจจุบันที่อะไรๆ ก็ต้องแชร์ ต้องระมัดระวังให้มากขึ้นหลายเท่าตัว เรื่องนี้ยังรวมถึงการให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของเพื่อนร่วมงานด้วย

ยิ่งในประเทศญี่ปุ่น ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องมารยาททางสังคม และในที่ทำงานค่อนข้างมาก ดังนั้นต้องเรียนรู้เรื่องการเข้าสังคมไว้พอสมควร ซึ่งส่วนใหญ่มีหนังสืออ่านหรือศึกษาตามสื่อต่างๆ อยู่พอสมควร

มหาวิทยาลัยโตเกียว หรือ โตได

ข้อดีของการมาทำงานต่างประเทศ

การมาทำงานต่างประเทศ (ญี่ปุ่น) นอกจากจะได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ได้ทำงานในบริษัทอินเตอร์ บริษัทระดับโลก ซึ่งจะได้พัฒนาฝีมือและนำกลับไปใช้งานที่ประเทศไทยได้ (หากจะกลับไปทำงาน)

ข้อดีอีกประการคือ จะทำให้มีโอกาสได้เจอกับคนเก่งๆ ได้ง่าย มีงานที่ต้องการความสามารถเฉพาะทาง หรือมีความท้าทายสูง ก็ทำให้มีโอกาสได้เจอกับคนเก่งๆ ที่มาทำงานในญี่ปุ่นเช่นกัน นอกจากนี้หลายๆ บริษัทยังสนับสนุนการจัดการแข่งขันทั้งในระดับนักเรียนและบุคคลทั่วไป หรือว่างานทอล์คเล็กๆ (User group meeting, Seminar, Talk ฯลฯ) เพื่อสร้างเครือข่ายของคนที่มีความสนใจใกล้ๆ กันอยู่บ่อยๆ  นี่คือ โอกาสในการพัฒนาตัวเอง

อีกประการที่เป็นข้อดีมากๆ คือ มีงานในสเกลที่หาได้ยากในประเทศไทย บริษัทหลายๆ แห่งในญี่ปุ่นนั้นมีทั้งงานที่มีลูกค้าหรือผู้ใช้อยู่เป็นจำนวนมากกระจายอยู่ทั่วโลก ทั้งเป็นบริษัทญี่ปุ่นเอง และบริษัทข้ามชาติที่มาตั้งสำนักงานในญี่ปุ่นเช่น ไมโครซอฟท์ กูเกิล เป็นต้น หรือจะเป็นงานที่ต้องการความสามารถเฉพาะทางสูง เช่นบริษัทเกมต่างๆ ทั้ง นินเทนโด สแควร์อีนิกซ์ ทำให้งานที่ญี่ปุ่นมีความหลากหลาย และยังมีงานในระดับที่หาได้ยากในเมืองไทย

“ความท้าทายของงานด้านโปรแกรมเมอร์ในต่างประเทศ คือ การได้ทำงานในบริษัทขนาดใหญ่ ได้พัฒนาแอปพลิเคชั่นที่มีผู้ใช้งานหลักร้อยล้านคน นี่คือความท้าทายที่หาไม่ได้ในประเทศไทย”

หากใครต้องการความท้าทายและประสบการณ์ใหม่ๆ การทำงานที่ญี่ปุ่นก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ

เรียนปริญญาเอก ก็เหมือน Startup

อย่างที่บอกไปตอนต้น วีนนาท กำลังเรียนปริญญาเอกพร้อมกับทำงานไปด้วย โดยได้บอกว่า การเรียนปริญญาเอก มีเหมือนกับการทำ Startup ถ้าเปรียบการทำ Startup คือ การค้นหาสิ่งใหม่ที่มา Disrupt สิ่งเดิมๆ ที่มีอยู่ ขณะที่การเรียนปริญญาเอก จะไปไกลกว่านั้น เพราะต้อง ค้นคว้าสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน เพื่อมา Disrupt สิ่งเดิมๆ ที่มีอยู่นั่นเอง

ดังนั้น วีนนาท จึงเชื่อว่า การเรียนปริญญาเอก จะช่วยเพิ่มความสามารถ ทำให้ได้ใกล้ชิดกับคนเก่งๆ และนำไปต่อยอดในการทำงานได้ดียิ่งขึ้น

ขอบคุณภาพสวยๆ จากฝีมือของ วีนนาท มงคลมาลย์

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา