ถ้าพูดถึงผลิตภัณฑ์ที่ทำจากหนัง Exotic ก็คือหนังจากสัตว์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่างกันไป เช่น หนังงู, หนังปลากระเบน, หนังตะกวด แต่สุดยอดที่สุดคือ หนังจระเข้ คือ มีความสวยงามจากลายเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกัน และความคงทนถาวร อายุการใช้งานเป็นสิบปี ทำให้หนัง Exotic ได้รับความนิยมทั่วโลก เป็นแบรนด์ดังระดับโลกที่รู้จักกันดี เช่น Hermes, Louis Vuitton หรือ Gucci
แต่รู้มั้ยว่า หนัง Exotic ที่ใช้ผลิตกระเป๋าหนังแบรนด์ระดับโลก ส่วนหนึ่งมีแหล่งผลิตจากประเทศไทย โดยเฉพาะหนังจระเข้ ชวมณฑ์ ปวโรดม ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท จระเข้ทองการเกษตร นครปฐม ทายาทรุ่นใหม่ที่ขยับเข้ามาสร้างแบรนด์และดูแลการตลาดให้กับผลิตภัณฑ์ Exotic แบรนด์ S’uvimol จะมาบอกเล่าเรื่องราวของกระเป๋าแบรนด์ไทย ที่โดนใจคนต่างประเทศ
จากฟาร์มจระเข้สมุทรปราการ สู่แบรนด์ S’uvimol
ฟาร์มจระเข้สมุทรปราการเป็นที่รู้จักกันดี ซึ่งเป็นธุรกิจในครอบครัวในรุ่นของคุณตา และต่อมาได้ขยายมาตั้งบริษัท จระเข้ทองการเกษตร นครปฐม เพื่อแตกไลน์ธุรกิจด้าน เนื้อ และหนังจระเข้ โดยเน้นการส่งออกเป็นหลัก 10 กว่าปีที่ผ่านมาแบรนด์ระดับโลก ซื้อหนังจระเข้จากที่นี่ไปทำการฟอกและผลิตเป็นกระเป๋าราคาหลักล้านบาท
ในเมื่อมีแหล่งวัตถุดิบที่ดีอยู่ในมือ ทำไมจะไม่สร้างแบรนด์ของตัวเองขึ้นมา เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเดียวกับแบรนด์ระดับโลก แต่เป็นราคาที่สามารถจับต้องได้ เพราะแค่แบรนด์ Hermes ถ้าเป็นกระเป๋าหนังจระเข้ ราคาหลักล้านบาทแน่นอน
จากนั้นจึงเกิดแบรนด์ S’uvimol ขึ้น (อ่านว่า สุวิมล) ซึ่งเป็นชื่อของคุณยาย และยังเป็นชื่อที่อ่านออกเสียงได้ง่ายทั้งคนไทยและคนต่างประเทศ เริ่มทำตลาดครั้งแรกเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา
ทำตลาดคนไทยไม่เวิร์ค หันเจาะตลาดตะวันออกกลาง
S’uvimol เป็นสินค้าระดับพรีเมียม แบรนด์ไทย แต่คุณภาพระดับสากล เป็นช็อปครั้งแรกในย่านทองหล่อ แต่ไม่ถูกกับพฤติกรรมคนไทยที่ชอบเดินห้างสรรพสินค้ามากกว่า เพราะอากาศร้อน ดังนั้นจึงย้ายมาเปิดที่เซ็นทรัล ชิดลม แต่กลับพบว่าลูกค้าที่ให้ความสนใจมากคือ คนอาหรับ
“ต้องยอมรับว่าคนไทยให้ความสนใจกับแบรนด์ที่เป็นอินเตอร์มากกว่า ทำให้ S’uvimol ไม่ได้รับความนิยมจากคนไทย ตรงกันข้ามกับคนอาหรับจากกลุ่มประเทศตะวันออกกลางกลับให้ความสนใจอย่างมาก”
เน้น Exotic เท่านั้น พร้อมสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ชวมณฑ์ บอกว่า ตัวเองเป็นทายาทรุ่นที่ 3 ของธุรกิจนี้ ต้องสร้างการต่อยอดออกไปให้มากขึ้น และจากที่เรียนจบด้าน Industrial Design เน้นการออกแบบ จึงนำมาประยุกต์ใช้ในการสร้างผลิตภัณฑ์ S’uvimol ให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่มีใครเหมือน นอกจากการเป็นแบรนด์ที่เน้นหนัง Exotic เท่านั้น เพื่อให้ผู้บริโภครับรู้ว่า ถ้า Exotic ต้อง S’uvimol ยังนำแนวคิดการออกแบบอื่นๆ มาใช้สร้างผลงาน
หนึ่งในนั้นคือ การออกแบบเฉพาะของตัวเองเพื่อสร้าง Signature ถ้าเห็นทรงกระเป๋า รูปแบบของหนัง และสีสันที่ใช้ จะรู้ทันทีว่าเป็น S’uvimol โดยไม่ต้องมี Logo เพราะตัวหนังสวยอยู่แล้ว และนั่นทำให้ได้รับความนิยมจากลูกค้ามากขึ้น เพราะผลิตภัณฑ์มีความโดดเด่นในตัวเองที่ไม่เหมือนใคร
ทำให้ปัจจุบัน S’uvimol ขยายสาขาในไทยรวมเป็น 4 สาขา นอกจากเซ็นทรัลชิดลม มีที่ สยามพารากอน, เอ็มโพเรียม และ เซ็น ในเซ็นทรัลเวิลด์ ในต่างประเทศที่ตะวันออกกลางที่บาห์เรน, ดูไบ และยังมีโชว์รูมที่ปารีส ฝรั่งเศส และที่นิวยอร์คที่กำลังจะเปิด
ความแตกต่างอยู่ที่แนวคิดในการสร้างผลิตภัณฑ์
ชวมณฑ์ บอกว่า S’uvimol ใช้แนวคิดว่า ตัวเองอยากใช้อะไรและยอมจ่ายเงินเท่าไร เป็นจุดเริ่มต้นในการทำผลิตภัณฑ์ ดังนั้นหนัง Exotic ต้องเป็นวัตถุดิบเกรด A+++ เท่านั้น มีโรงงานฟอกหนังของตัวเองในไทย และใช้บริการโรงงานฟอกหนังที่ญี่ปุ่น มีทั้งหนังงู, หนังนกกระจอกเทศ และหนังจระเข้ ที่เป็นพระเอก มีราคาตั้งแต่ 20,000 – 200,000 บาท
และจุดที่แตกต่างที่สุดของ S’uvimol คือ เป็นหนังที่มีสีมากที่สุดในโลก โดยตั้งแต่มีการผลิตมา มีการใช้สีไปแล้วประมาณ 100 เฉดสี ถ้าเป็นคนชอบสีสัน และชอบหนัง Exotic ต้องที่ S’uvimol เท่านั้น และยังสามารถ Custom Made ให้ลูกค้าได้ภายใน 2 สัปดาห์
“ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ S’uvimol ได้รับความนิยมอย่างมากจากตะวันออกกลาง เพราะเป็นหนัง Exotic ที่ดูมีมูลค่าสูงในราคาที่จับต้องได้ และยังมีสีสันที่สดใส ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวอาหรับชอบ ในช่วง 2 ปีหลังมานี้ แค่เห็นกระเป๋า ก็จะรู้ทันทีว่าเป็นแบรนด์ S’uvimol ซึ่งปรากฏว่า ลูกค้าชาวอาหรับ ถ้าซื้อกระเป๋าแบบไหนไป ก็จะซื้อไปหลายๆ เฉดสี เพื่อสลับกันใช้ในแต่ละวัน”
Social คือช่องทางการขายที่สำคัญ
ลูกค้าส่วนใหญ่ของ S’uvimol จะติดใจและมาซื้อซ้ำ รวมถึงบอกต่อให้เพื่อนๆ มาซื้อด้วย ซึ่ง 80% เป็นคนจากตะวันออกกลาง 10% เป็นคนประเทศอื่นๆ และ 10% เป็นคนไทย ซึ่งลูกค้าจากกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง นิยมเล่น Social Media โดยเฉพาะ Instagram ทาง Suvimolbkk เป็นหลัก และบางส่วนที่เล่น Facebook S’uvimol Bangkok
ช่องทาง Social ทำให้ลูกค้าได้มีโอกาสเห็นผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ได้ง่าย ทำให้ลูกค้ารายเดิมกลับมาซื้อ หรือสั่งซื้อได้ตลอดเวลา แต่ข้อจำกัดคือ ลูกค้าใหม่ๆ จะยังไม่รู้ Story ของแบรนด์ ซึ่งจากที่ทำตลาดมา บอกได้เลยว่า Storytelling เป็นสิ่งสำคัญมากของแบรนด์ ถ้าแค่เห็นแล้วไม่เข้ามาทำความรู้จัก ก็อาจจะผ่านเลยไป แต่ถ้าได้เข้ามาสัมผัสกับแบรนด์ จะช่วยให้ตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
“สินค้าแฟชั่นเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น เป็นเรื่องของความรู้สึก ดังนั้นต้องบอกเล่าเรื่องราวให้ผู้บริโภคได้รู้และเข้าใจ ซึ่งทุกแบรนด์สามารถนำไปใช้ได้ กรณีของ S’uvimol มีแหล่งวัตถุดิบคุณภาพ มีโรงงานผลิต ออกแบบเอง และดูแลลูกค้า แม้จะไม่ซื้อ แต่ดูแลลูกค้าเหมือนกันหมดทุกคน มีบริการหลังการขาย ดังนั้นจึงเกิดกระแสบอกต่อๆ กันอย่างดี”
เข้าใจวัตถุดิบ เข้าใจผลิตภัณฑ์ เพื่อคุณภาพที่ดีกว่า
S’uvimol เป็นแบรนด์ที่เกิดจากความรู้ความเข้าใจเรื่องหนัง Exotic ภายในครอบครัว มีประสบการณ์ที่ผ่านมาเป็นสิบปี ดังนั้นเราจะรู้ว่าต้องคัดเลือกหนังอย่างไรที่มีคุณภาพ นำไปใช้ผลิตเป็นกระเป๋าขนาดต่างๆ ได้ จะใช้การออกแบบอย่างไรให้เหมาะสม และออกมาสวยงาม และยังต้องดูราคาด้วย เพราะแบรนด์ S’uvimol จะใช้หนังทั้งตัว ไม่มีการต่อหนัง เพราะ ความสวยงามของลายบนหนังจะเสียไปทันที
หนังงู หนังนกกระจอกเทศ และหนังจระเข้ ต้องการความเข้าใจที่แตกต่างกัน และนำมาผสมผสานกับการออกแบบ โดยส่วนตัวชื่นชอบ “ความสมมาตร” (Geometric) ซึ่งขัดแย้งกับหนัง Exotic ซึ่งไม่สมมาตรเลย แต่ S’uvimol สามารถทำออกมาได้ลงตัว
แบรนด์ไทย ของคนไทย ลุยตลาดโลก
เป้าหมายของ S’uvimol ต้องการแสดงให้เห็นว่านี่คือ ผลิตภัณฑ์กระเป๋าหนัง Exotic แบรนด์ของคนไทย ผลิตโดยคนไทย มีคุณภาพระดับสากล และเป็นแบรนด์ระดับ Luxury ที่สามารถออกไปทำตลาดต่างประเทศได้ ตั้งเป้าขยายสาขาไปทั่วโลก ซึ่งนอกจาก S’uvimol แล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์ของผู้ชายในชื่อ SV HOMME ซึ่งเน้นกระเป๋าเงิน ขนาดเล็ก
ถ้าแบรนด์ S’uvimol ทำได้ แบรนด์ไทยอื่นๆ ก็สามารถทำได้ ขอแค่ใส่ใจในรายละเอียดทั้งหมดตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงลูกค้า สร้างเรื่องราวของแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์ให้เกิดขึ้น ตลาดโลกไม่ใช่สิ่งที่อยู่ไกลเกินเอื้อม
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา