ผู้เชี่ยวชาญด้านการฆ่าตัวตาย ออกมาเตือน โควิด-19 ที่กำลังระบาดหนักตอนนี้ ส่งผลกระทบหนักต่อสุขภาพจิตของผู้คน โดยเฉพาะกลุ่มที่สุ่มเสี่ยงมากๆ คือ กลุ่มคนว่างงาน คนยากจน และคนสูงวัย
โควิด-19 ที่กำลังระบาดหนักขณะนี้ ส่งผลกระทบด้านเศรษฐกิจไม่พอ ยังส่งผลกระทบต่อสังคมด้วย และอาจจะทำให้คนฆ่าตัวตายสูงกว่าตอนโรคซาร์สระบาดด้วยซ้ำ การสูญเสียงาน ความเครียดทางการเงิน ล้วนเป็นปัญหาใหญ่และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนตัดสินใจจบชีวิต
ในฮ่องกง ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตออกมาเตือนว่าโรคระบาดโควิด-19 อาจจะส่งผลกระทบให้คนฆ่าตัวตายสูง โดยศาสตราจารย์ Paul Yip Siu-fai ผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยฮ่องกง ศูนย์วิจัยและป้องกันการฆ่าตัวตาย (Center for Suicide Research and Prevention) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตระหว่างประเทศที่เห็นตรงกันว่าโรคระบาดส่งผลกระทบด้านจิตวิทยาไปทั่วโลก
คนที่มีรายได้ทางเดียว มีปัญหาทางการเงิน เกิดความเครียดทางจิตใจแน่นอน
หนึ่งในนั้นคือกลุ่มเสี่ยงที่เป็นคนทำงานและต้องตกงาน ว่างงาน เพราะจะต้องประสบปัญหาหนักด้านการเงิน รวมถึงคนสูงวัยที่ต้องถูกให้อยู่ในพื้นที่จำกัด เช่น การอยู่บ้าน เพราะคำสั่งจำกัดการเคลื่อนไหวในช่วงวิกฤต ในเรื่องนี้ Yip กล่าวว่า การยืดเวลาบังคับใช้มาตรการ Social Distancing และข้อจำกัดต่างๆ อาจทำให้ไวรัสแพร่กระจายลดลง แต่ก็ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คนด้วย
ในบทความที่เผยแพร่เมื่อ 21 เมษายน ใน Lancent Psychiatry วารสารด้านการแพทย์ กลุ่มที่สูญเสียหน้าที่การงานและต้องประสบภาวะความเครียดด้านการเงิน เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้คนฆ่าตัวตาย พวกเขาเรียกร้องให้รัฐบาลทำโครงข่ายรองรับทางการเงิน สำหรับคนที่ต้องการความสนับสนุน รวมทั้งอาหาร บ้าน และความช่วยเหลือสำหรับผู้คนที่ว่างงานด้วย
ทั้งนี้ อัตราการฆ่าตัวตายในฮ่องกงช่วงที่เกิดโรคระบาดซาร์สในปี 2003 มีการฆ่าตัวตายสูงราว 18.6 คนต่อ 100,000 คน มีคนเสียชีวิตราว 1,264 คน มีคนที่อายุมากกว่า 60 กว่าปีได้รับผลกระทบทางสุขภาพจิตอย่างหนักหน่วง การกักบริเวณตัวเองอยู่แต่ในบ้าน ทำให้คนสูงวัยรู้สึกโดดเดี่ยวและทำให้รู้สึกอยากฆ่าตัวตายมากขึ้น ขณะเดียวกันโรคซาร์สก็ทำให้คนติดเชื้อมากถึง 1,755 คน เสียชีวิต 299 คน ส่งผลลบต่อเศรษฐกิจอย่างสาหัส อัตราการว่างงานสูงถึง 8.5%
คนว่างงาน คนขาดรายได้ คนสูงวัยที่รู้สึกโดดเดี่ยว ล้วนได้รับผลกระทบทางสุขภาพจิตหนักกว่าคนทั่วไป
ขณะนี้อาจยังไม่เห็นผลกระทบจากโรคระบาดในทางจิตวิทยาชัดเจนนัก แต่เริ่มมีสัญญเตือนว่าฮ่องกงจะต้องเผชิญปัญหานี้แน่นอน ผลสำรวจจากมหาวิทยาลัยในจีนระบุว่า 67.5% จากจำนวน 807 คน ยอมรับว่า พวกเขานอนหลับยากมากขึ้นในรอบกว่า 6 เดือนที่ผ่านมา
นอกจากนี้ เดือนที่ผ่านมา องค์กรชุมชนเพื่อสังคมยังพูดถึงบทสำรวจที่แสดงให้เห็นว่า กว่า 70% ของเด็กนักเรียนราว 582 ราย มาจากครอบครัวที่มีรายได้น้อย พวกเขาไม่มีคอมพิวเตอร์ หรือหากมีก็เป็นคอมพิวเตอร์ที่เก่าเกินกว่าจะนำมาใช้เรียนออนไลน์ขณะอยู่บ้านได้
บทความจาก JAMA Psychiatry พูดถึงประเด็นเรื่องการฆ่าตัวตายในช่วงโรคระบาดโควิด-19 ผ่านบทความ Suicide Mortality and Coronavirus Disease 2019-A Perfect Storm? ไว้ว่า อัตราการฆ่าตัวตายของคนอเมริกันเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมา
การให้คนแยกตัวลำพัง ออกห่างจากสังคมเป็นเวลานานไม่มีกำหนดคือความเสี่ยง
การใช้มาตรการ Social Distancing การลดการติดต่อของผู้คน เป็นมาตรการที่คนคิดว่าจะช่วยลดการติดเชื้อ อาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการปลิดชีวิตทิ้งของผู้คนมากขึ้น ซึ่งก็มีปัจจัยเสี่ยง ดังนี้
ความเครียดทางด้านเศรษฐกิจซึ่งก็มีความกลัวอยู่ในนั้นด้วย ทั้งการยกเลิกอีเวนท์ต่างๆ การปิดตัวของธุรกิจ ไปจนถึงความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ความเดือดร้อนจากการถูกปลดจากงาน การปิดโรงเรียนไม่มีกำหนด การแยกให้คนออกจากสังคม เพื่อให้อยู่ลำพัง สิ่งนี้นำไปสู่การฆ่าตัวตายได้ง่ายๆ เพราะการมีส่วนร่วมกับสังคม มีกิจกรรมทางสังคม ช่วยป้องกันไม่ให้คนคิดสั้นได้
การลดการเข้าถึงสังคม การร่วมกิจกรรมทางศาสนา เหล่านี้ก็สร้างความโดดเดี่ยวให้ผู้คน คนอเมริกันจำนวนมากใช้ชีวิตแบบมีกิจกรรมทางสังคมที่หลากหลายมาก ซึ่งมันช่วยให้มีการฆ่าตัวตายต่ำลงถึง 5 เท่า หากเปรียบเทียบกับผู้คนที่ไม่ได้เข้าสังคม
อัตราการฆ่าตัวตายของคนไทยในช่วงโควิด-19 สูงเพราะผู้คนหมดหนทางทำมาหากิน
จนถึงตอนนี้มีคนฆ่าตัวตาย 38 คน เท่ากับจำนวนคนติดโควิด… pic.twitter.com/3ffiM8cCEC
— ปุ้กปิ้ก (@prempmst) April 24, 2020
ฆ่าตัวตายพุ่ง 38 ราย สำเร็จ 28 ผมว่ามีเยอะกว่านี้ pic.twitter.com/7XjuZYQ6B9
— จืด สามสอเสือ (@nsbest) April 25, 2020
ภาครัฐดีใจ ปลื้มใจที่คนติดเชื้อลดลง
แต่กลับไม่พูดถึงคนที่ฆ่าตัวตาย คนที่กำลังจะฆ่าตัวตาย และ คนที่ออกปล้นลักขโมยเพราะตกงาน
หรือว่าปล่อยให้ตายได้ตายไปก่อน แบบที่นักร้องใจทรามได้กล่าวไว้#รัฐบาลส้นตีนคนเชียร์ก็ส้นตีน #โจนูโว pic.twitter.com/DHDirhKMHg
— โอเค โอเลี้ยงเอง (@Kranc01) April 17, 2020
ช่างแอร์เครียดโควิดระบาด จนตกงาน รออุทธรณ์เงินเยียวยา 5,000 บาท ค้างค่ารถ 3 เดือน เงินจะกินก็ยังไม่มี ตัดสินใจผูกคอตาย แม่บอกแม้แต่เงินทำศพลูกก็ยังไม่มีเลย/ ข่าวสด pic.twitter.com/G4nGnOLkwN
— joe black (@joe_black317) April 21, 2020
แท็กซี่ผูกคอตาย เครียดไม่ได้เงิน 5 พัน เมียเผยก่อนตายมีเงินติดตัวแค่ 60 ที่บ้านตกงาน 8 คน // ต้องตายกันอีกกี่ศพรัฐบาลถึงจะเลิกโง่ แล้วที่ให้ไปยื่นอุทธรณ์ก็ไม่รู้ว่าจะได้เงินจริงทุกคนมั้ย ต้องรออีกกี่วันกว่าจะได้เงิน ความอดอยากมันรอไม่ได้ https://t.co/S9va2eoDxg
— ฟ้า (@whybadguy) April 20, 2020
เรื่องนี้คนชั้นกลางในเมืองต้องเข้าใจว่า คนกลุ่มนี้ "ส่วนใหญ่" ไม่มีใครอยากมาขอคนอื่นกินหรอก อยากทำงาน มีเกียรติมีศักดิ์ศรีเหมือนมนุษย์คนอื่น อยากภูมิใจที่เสียภาษี (dignity to pay tax) (และเอาจริงๆ ก็คือเสีย vat อยู่แล้ว)
แต่ถ้าพยายามทุกทางแล้วยังไม่มีกิน ก็ต้องขอความช่วยเหลือ https://t.co/8frPxWpDdF
— Isriya Paireepairit (@markpeak) April 26, 2020
นักวิจัยระบุคน “ฆ่าตัวตาย” เพราะเดือดร้อน เท่ากับ “คนตาย COVID” https://t.co/dUnUu4TUFj #ThaiPBSnews
— Thai PBS News (@ThaiPBSNews) April 25, 2020
ทางออกที่จะช่วยลดอัตราการฆ่าตัวตาย หรือป้องกันไม่ให้จำนวนเพิ่มขึ้นคือลดมาตรการ Lockdown เปิดทางให้คนทำมาหากิน
ผ่อนคลายมาตรการ Lockdown กระจายเงินช่วยเหลือในช่วงโควิด-19 ให้ถึงมือประชาชนให้เร็วที่สุด สองปัจจัยสำคัญเบื้องต้นนี้จะช่วยลดจำนวนการฆ่าตัวตายที่เกิดขึ้นในแต่ละวันได้ เพราะมันช่วยให้คนที่มีรายได้ทางเดียว ได้ทำมาหากิน เลี้ยงชีพ เลี้ยงชีวิต แบบที่ลดการพึ่งพาจากรัฐน้อยลงได้ด้วย และยังทำให้มนุษย์มีชีวิตชีวาในการดำเนินชีวิตมากขึ้น ผ่อนคลายความตึงเครียด ช่วยลดความห่อเหี่ยว ลดความโดดเดี่ยวที่เกิดขึ้นในจิตใจ
หลายประเทศที่ประสบปัญหาการติดเชื้ออย่างหนักหน่วง เช่น สเปน ฝรั่งเศส อิตาลีก็เริ่มผ่อนคลายมาตรการ Lockdown แล้ว ในสหรัฐฯ ที่ติดเชื้อโควิด-19 มากเป็นอันดับ 1 ของโลก ก็ยังมีรัฐจอร์เจีย เริ่มเปิดทางให้คนเริ่มกลับมาดำเนินกิจการต่อ
แม้เกาหลีใต้ในช่วงที่เจอ super spreader ใหม่ๆ ที่เจอการติดเชื้ออย่างหนัก ก็ยังไม่สั่ง Lockdown ประเทศ แต่ตรวจโรค กักกันโรคจริงจัง ก็สามารถจัดการควบคุมโควิด-19 ได้ หรือกระทั่งสวีเดนที่มีคนติดเชื้อสูงจนมีคนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ก็ยังไม่สั่ง lockdown ประเทศ และในที่สุดก็ควบคุมโรคได้
ที่มา – South China Morning Post, JAMA Psychiatry
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา