Steve Aoki ดีเจรุ่นเก๋ากล่าว ในช่วง 10 ปีที่ทำงานดนตรี ออกเพลงมา 6 อัลบั้ม มีรายได้น้อยกว่าปล่อย NFTs ครั้งเดียวเมื่อปีที่แล้ว
Steve Aoki โลดแล่นในวงการ NFT ในฐานะศิลปินมาสองสามปีแล้ว และเขาต้องการเห็นทรัพย์สินดิจิทัลที่มีลักษณะเฉพาะตัวเหล่านี้มาช่วยปฏิวัติอุตสาหกรรมดนตรี
ล่าสุด เขาได้ขึ้นพูดเปิดงานในอีเวนต์ของ Gala Music ซึ่งจัดขึ้นที่ The Forum ใน เมืองอิงเกิลวูด รัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ซึ่งการพูดคุยเป็นไปในลักษณะของการถามตอบแบบตัวต่อตัว
ในช่วงการถามตอบ Aoki เรียกตัวเองว่า “Futurist” และเขาเชื่อมั่นว่า NFTs จะปฏิวัติอุตสาหกรรมดนตรีได้อย่างแน่นอน ในปัจจุบันศิลปินมีรายได้เพียงเล็กน้อยจากค่าลิขสิทธิ์ Aoki ยังเผยอีกว่า รายได้จากงาน DJ ของเขานั้นคิดเป็นเกือบ 95% ของรายได้ทางดนตรีทั้งหมดของเขา
“ถ้าผมไม่ได้มีงาน DJ…ผมคงต้องหางานใหม่แล้วล่ะ” เขาพูด เรียกเสียงหัวเราะจากฝูงชน
NFTs คือโทเคนที่มีความแตกต่างเฉพาะตัว ไม่ซ้ำใคร อยู่บนบล็อกเชน เช่น Ethereum หรือ Solana และสามารถบ่งบอกกรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของเหนือรูปภาพ ผลงานดนตรี หรือแม้แต่ทรัพย์สินอื่น ๆ ที่จับต้องได้ในโลกจริงด้วย ตลาด NFTs บูมอย่างมากในปีที่ผ่านมา และปัจจุบันกลายเป็นอุตสาหกรรมมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์
Aoki มองว่า ภายใต้โมเดลธุรกิจในปัจจุบัน ค่าลิขสิทธิ์ไม่คุ้มเลย แต่มันก็มีส่วนช่วยศิลปินได้บ้าง “ถ้าจะให้ลงรายละเอียดคือ ในช่วง 10 ปีที่ผมทำงานดนตรี ออกเพลงมา 6 อัลบั้ม และเมื่อคุณรวมรายได้ทั้งหมดนี้ ยังน้อยกว่าที่ผมได้จากการปล่อย NFTs ครั้งเดียวเมื่อปีที่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ผมยังสามารถเต็มที่กับงานดนตรีมากขึ้น” Aoki กล่าว
เขายังเสริมว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ NFTs น่าตื่นเต้นเพราะมันขึ้นอยู่กับคอมมูนิตี้ที่ก่อตื่นตัวมาสนับสนุนพวกเขา ซึ่งสำหรับ Aoki แล้ว เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมเพราะนักดนตรีส่วนใหญ่มีฐานแฟนเพลงที่คลั่งไคล้จำนวนมากอยู่แล้ว
“และเมื่อเพลง NFTs เริ่มกลายเป็นส่วนหนึ่งในการมีส่วนร่วมสนับสนุนศิลปิน ค่ายเพลงต่าง ๆ ย่อมจะต้องทำอะไรมากขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่การเพิ่มเพลงในเพลย์ลิสต์” Aoki กล่าว
Aoki ไม่ได้เป็นเพียงผู้สร้างผลงานแต่ยังเป็นนักสะสมอีกด้วย เขาเป็นเจ้าของ NFTs ชุด Bored Ape Yacht Club (BAYC) หลายชิ้น และยังทำผลงานบน NFT Marketplace ที่อยู่บนบล็อกเชน Solana และปัจจุบันเขาได้เปิดตัว Aokiverse คลับแบบสมัครสมาชิกที่มี NFTs ซึ่งจะมีอยู่ในโลกจริงด้วย
สำหรับตัว Aoki เขาคิดว่า Web3 หมายถึงกรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของ ซึ่งรวมถึงการเป็นเจ้าของข้อมูลของตัวเองด้วย เขายังกล่าวอีกว่าในอนาคต เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาไปไกลกว่านี้ จะถึงยุคที่เฟซบุ๊กและอินสตาแกรมไม่สามารถยึดครองข้อมูลของผู้ใช้ไว้ได้อีกต่อไป และอินเทอร์เน็ตจะกลายเป็นสิ่งที่ให้อำนาจกับผู้ใช้งาน”
“จะมีเวอร์ชันใหม่ที่ซึ่งเราสามารถแสดงสิ่งที่เป็นของเรา” เขากล่าวเสริม “และจะเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนของเรา”
ที่มา – Fortune
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา