ยุคของ Startup กำลังเบ่งบาน นอกจาก Startup จะได้รับความสนใจแล้ว Venture Capital หรือ VC ก็เป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ได้รับความสนใจมากขึ้นเช่นเดียวกัน ในฐานะของผู้ให้เงินทุน ต่อลมหายใจให้กับ Startup ได้มีเงินไปจับจ่ายใช้สอย รวมถึงอาจจะช่วยเหลือด้านอื่นๆ ให้ Startup ได้เจริญเติบโตออกดอกออกผลได้ในที่สุด
หนึ่งใน VC ที่น่าสนใจ และเตรียมจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการคือ ASCEND Capital ในเครือ ASCEND Group ที่บอกว่ากำลังจะเปิดตัวเพราะ ถึงปัจจุบัน ASCEND Capital ลงทุนรวมประมาณ 12 ล้านดอลลาร์ กับ Startup ไปชัดๆ 2 ราย คือ Omise เป็น FinTech ซึ่งอยู่ในระดับ Series B และ Send it บริการ Messenger Service และยังมีที่อยู่ระหว่างการเจรจาอีก ดังนั้นจึงไม่แปลกใจถ้า Startup จะยังไม่ได้ข่าวเกี่ยวกับ VC รายนี้มากนัก
3 เป้าหมาย Startup ระดับ Series A
Brand Inside ได้มีโอกานั่งคุยกับ กัมปนาท วิมลโนท ผู้จัดการด้านการลงทุนของ ASCEND Capital เพื่อเปิดมุมมองด้านการลงทุนของ ASCEND Capital ซึ่ง จะเน้นลงทุนใน Startup ที่ ASCEND Group จะสามารถทำงานร่วมกันและต่อยอดทางธุรกิจร่วมกันได้เป็นหลัก ใน 3 กลุ่ม คือ
- FinTech
- e-Commerce
- Logistics
โดยเป้าหมายของ ASCEND Capital คือจะโฟกัสที่ Startup ระดับ Series A ขึ้นไปเป็นหลัก โดยมีเงินทุนประมาณ 1 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป นั่นแปลว่าต้องเป็น Startup ที่มี Product อยู่แล้ว มีการปรับให้ Fit to Market มีฐานลูกค้าและเริ่มมีรายได้ ถ้าพร้อมจะขยายไปตลาดต่างประเทศจะยิ่งดีมาก (อย่างน้อยโมเดลธุรกิจต้องขยายไปต่างประเทศได้) และจะดีมากถ้าเป็น Startup ไทย เพราะ ASCEND Group เป็นบริษัทในไทย ที่อยากจะช่วย Startup ให้เติบโตไปด้วยกัน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ปิดกั้น Startup จากประเทศอื่นๆ
3 องค์ประกอบของ Startup ที่น่าลงทุน
การเป็น Startup ในระดับ Series A เป็นการพิสูจน์แล้วว่า บริการที่คิดขึ้น และโมเดลธุรกิจเป็นไปได้จริง ซึ่ง ASCEND Capital ต้องการช่วยผลักดันให้แจ้งเกิดในตลาดได้ ถือเป็นการลงทุนในระดับ Middle Term ถึง Long Term และยังมีหลักเกณฑ์อื่นๆ เช่น
- ASCEND Group ต้องสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ Startup นั้นๆ ได้ หรือสามารถเข้ามาเสริมกับธุรกิจ ทั้งกลุ่ม True, ASCEND หรือแม้แต่ CP กล่าวได้ว่า ASCEND Capital เป็นสไตล์ Active Investor คือ เข้ามาช่วยเหลือกัน มากกว่าจะเป็น Financial Investor ที่ใส่เงินลงทุนเพียงอย่างเดียว
- Timing ต้องดี คือเป็น Startup ที่มาในเวลาที่เหมาะสมกับความต้องการของตลาด เช่นในเวลานี้ มี Startup หลายตัวที่น่าสนใจ เช่น Blockchain, Retail, e-Commerce และ nonbank ซึ่ง ASCEND Capital เชื่อว่าจะเป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาด
- Founder และ Founding Team คนที่จะดึงดูดการลงทุนจาก VC ได้ ต้องเป็น Founder หรือผู้ก่อตั้งที่มีความสามารถ แต่ก็ไม่ใช่ตัวผู้ก่อตั้งแค่คนเดียว แต่ต้องรวมถึง Founding Team หรือทีมงานชุดเริ่มต้น ทั้ง CEO, CTO และ CMO ควรมีประสบการณ์ มากกว่าเด็กจบใหม่
Founder ต้องเสียสละ จัดทีมเริ่มต้นให้เล็ก ลดต้นทุนเพื่ออยู่รอด
กัมปนาท บอกว่า จากประสบการณ์ทำ Startup มาด้วยตัวเอง และด้านการลงทุนใน Startup ต่างๆ CTO หรือ Developer มีความสำคัญในการทำให้ Startup มีความโดดเด่นเรื่องเทคโนโลยี แต่นั่นก็เป็นต้นทุนด้านบุคลากรที่ค่อนข้างสูง ดังนั้น คนที่ต้องเสียสละที่สุดก็คือ Founder หรือ CEO ที่ต้องทำงานหนัก ไม่รับเงินเดือน หรือเรียกว่า มองเป็นการลงทุนระยะยาว
ปัจจุบันค่าใช้จ่ายหลักของ Startup แบ่งคร่าวๆ 40% คือ เรื่องของบุคลากร อีก 40% เป็นเรื่องการตลาด และที่เหลือ 20% เป็นค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆ ดังนั้น ต้องลดจำนวนคนให้น้อยที่สุด เพื่อลดต้นทุนในช่วงเริ่มต้น ช่วยให้ธุรกิจอยู่รอด หลายทีมที่ได้เงินทุนรอบ Pre Seed ประมาณ 1.5 – 2 ล้านบาท ใช้ได้ประมาณ 6-12 เดือน ต้องสู้สุดๆ เพื่อให้ธุรกิจแจ้งเกิดให้ได้ จากนั้นค่อยเพิ่มในรอบ Seed Round ให้ได้หลัก 10 ล้านบาท
มั่นใจตลาด Startup ไทยยังมีช่องว่างเพียบ จับตา Blockchain – TravelTech
ในระยะ 3-5 ปีจากนี้ เชื่อว่าจะมี Startup ใหม่ๆ เกิดขึ้นอีก ทั้งในกลุ่มธุรกิจที่ยังไม่มี และกลุ่มที่มีแล้วแต่ยังไม่ดีพอ กลุ่ม FinTech ทั้ง Payment, Investment ยังเติบโตได้อีกมาก InsuranceTech เป็นอีกตลาดที่ใหญ่และยังเจาะเข้าไปได้น้อย ซึ่ง Startup ไทย ต้องเร่งมืออีกมาก เพราะทีมงานมาเลเซีย และ สิงคโปร์ เห็นโอกาสในไทย และเข้ามาเริ่มต้นธุรกิจเป็นจำนวนมากแล้ว
สำหรับ ASCEND Capital มองว่า 2 Startup ที่จะมาแรงมาก คือ Blockchain ที่จะมาเปลี่ยนระบบการตรวจสอบใหม่ทั้งหมด และสามารถขยายไปได้เยอะมาก ไม่ใช่แค่เรื่องการเงิน หรือเรื่องธนาคารเท่านั้น แม้แต่เรื่องอสังหาริมทรัพย์ การโอนย้ายเปลี่ยนเจ้าของ ที่ต้องมีระบบงานเอกสารเข้ามาเกี่ยวข้อง ล้วนสามารถใช้ Blockchain ได้ทั้งหมด
อีก Startup ที่ไทยต้องเร่งมือคือ TravelTech ซึ่ง ASCEND Capital เห็นโอกาสและให้ความสนใจอย่างมาก โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ B2B ซึ่งมีผู้ให้บริการหลายรายในตลาด ( agoda, tripadvisor, traveloka, ฯลฯ) แต่ไม่มีของไทยเลย ทั้งที่ไทยเป็นประเทศท่องเที่ยว ตัวอย่างแค่ระบบการจองโรงแรม มี Startup ที่ได้รายได้จากการจองห้อง 20-40% จากการให้บริการจองโรงแรมเท่านั้น และเงินเหล่านั้นไปต่างประเทศหมด ส่วนอีกกลุ่มที่น่าสนใจคือ บริการรองรับนักท่องเที่ยวจีน เพราะนักท่องเที่ยวจีน ประมาณ 4-5 ล้านคนต่อปี เป็นตลาดที่ใหญ่พอสำหรับ Startup
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา