Gen Z ไม่กลัว AI แทนที่ แต่กลัว ‘เก่ง’ ไม่พอเมื่อวันนั้นมาถึง ซีอีโอ ‘ศรีจันทร์’ ชวนคนทำงานหาคุณค่าในตัวเอง

ท่ามกลางการตั้งคำถามว่า ‘AI’ จะมาแย่งงานเราไหม ทำไมไม่ลองถามตัวเองบ้างว่า แล้วเรามีอะไรที่ AI แทนไม่ได้?

srichand

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘มุมมอง’ เป็นเรื่องที่สำคัญมากในชีวิต เพราะต่อให้คนสองคนเผชิญสถานการณ์เดียวกัน ก็ไม่หมายความว่าเขาทั้งคู่จะได้บทเรียนหรือมีวิธีรับมือเหมือนกัน

รวิศ หาญอุตสาหะ’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด และผู้ก่อตั้ง Mission to the Moon เล่าในงาน ‘Creative Talk Conference 2025’ ว่า เวลาที่สิงโตไล่จับกวาง ทั้งสองฝ่ายต่างเครียดกันทั้งคู่ โดยกวางเครียดแบบกดดัน กลัวตาย เพราะต้องหนีสิงโต แต่สิงโตเครียดแบบตื่นเต้น มองกวางเป็นความท้าทาย และถ้าไม่ไล่ ก็ไม่มีกินข้าวกิน

หากถามว่ามนุษย์เราเมื่อแสนปีที่แล้วคล้ายกับ ‘กวาง’ หรือ ‘สิงโต’ รวิศก็ตอบว่า เราคงคล้ายกวางมากกว่า เพราะเราไม่มีเขี้ยว เล็บไม่คม วิ่งช้า แถมตอนนั้นยังไม่รู้จักไฟเลยด้วยซ้ำ แทบจะอยู่ล่างสุดของห่วงโซ่อาหาร ส่งผลให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ขี้กลัว

แต่ถ้าจะ ‘อยู่รอด’ บนโลกนี้ได้ เราอาจต้องเริ่มมองความท้าทายต่างๆ ให้เหมือนกับสิงโต เพราะรวิศเชื่อว่า แค่ปรับมุมมองนิดเดียว ก็เปลี่ยนชีวิตคนมาเยอะแล้ว

จริงๆ ‘Gen Z’ ควรเป็นเจนเนอเรชันที่กลัวปัญญาประดิษฐ์มาแทนที่มากที่สุด เพราะพวกเขาคือรุ่นที่อยู่ในช่วงรอยต่อ และคงได้ทำงานกับเทคโนโลยีนี้ไปตลอดชีวิตการทำงาน 

แต่จากการสอบถามของรวิศ เด็ก GenZ ไม่ได้กลัว AI มาแทนที่ หรือกลัวงานหนักขึ้น แต่กลับกลัวว่า ถ้าวันนั้นมาถึง ตนเองจะเก่งพอหรือยัง

มาดูความคิดของ Gen Z กัน

ความเก่งคือตัวตน ความอดทนมีไว้ให้สิ่งที่ใช่ก็พอ

Working

รวิศอธิบายว่า ในมุมของคนรุ่นใหม่ ‘ความเก่ง’ คือ ‘ภาพร่าง’ ของความภูมิใจในตนเอง ซึ่งคำถามที่อยู่ในใจของพวกเขาหลายคนคือ

  • ตัวเราในอนาคตจะ Regret หรือภูมิใจกับตัวเราในปัจจุบัน?
  • เราจะเก่งเท่าคนอื่นไหม?
  • งานหนัก หมดไฟ ไม่กลัว แต่กลัวว่าทำไปแล้วจะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นดีกับเราจริงไหม?
  • เราจะมีชีวิตที่ดีเหมือนคนในโซเชียลหรือเปล่า?

ท่ามกลาง เสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเด็ก Gen Z ทำงานไม่เก่งและไม่อดทน เราอาจต้องมาตั้งคำถามใหม่ว่า ความเก่งกับความอดทนนั้นหมายถึงอะไร?

สำหรับรวิศแล้วความเก่งหมายถึงทักษะที่มี ส่วนความอดทนคือการที่อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นาน

กลับกัน สำหรับ Gen Z ความเก่งคือ ‘ตัวตน’ ที่ผู้คนเห็น และไม่ได้อยากเก่งแค่ด้านเดียว แต่อยากให้ทุกคนเห็นถึงความเก่งในทุกๆ ด้าน ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องงาน

ขณะเดียวกัน ความอดทนคือ การทนในสิ่งที่ใช่ เพราะถ้าไม่ใช่ แล้วเราจะทนไปทำไม

รวิศเผยว่า นี่คือสิ่งที่คน Gen X มีปัญหา เพราะเป็นรุ่นที่ถูกพร่ำสอนมาว่า ต้องทำอย่างนู้นอย่างนี้สิถึงจะดี โดยไม่เคยตั้งคำถามเลยว่า เราทำไปทำไม?

องค์กรช่วยพนักงานหาคุณค่าในตนเองหรือยัง?

นอกจากนั้น รวิศบอกว่า สาเหตุที่ Gen Z ไม่กลัว AI มาแทนที่ ก็เพราะพวกเขารู้ดีว่า ตนเองมีสิ่งที่ปัญญาประดิษฐ์ไม่มี เช่น ความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ ความคิดสร้างสรรค์ ความเชื่อ ความคิดเชิงวิพากษ์ และความเป็นเอกลักษณ์

นี่คือ ‘คุณค่า’ ในตนเองที่ใครก็มาแทนไม่ได้ ซึ่งสมัยนี้ เราคงไม่สามารถมองคนในรูปแบบเดียวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว และ ‘องค์กร’ ควรทำความเข้าใจด้วย เพื่อช่วยผลักดันให้บุคลากรเจอคุณค่าของตนเอง 

รวิศเองก็เคยเจอกับพนักงานฝ่ายบัญชีคนหนึ่งที่ทำผลงานได้ไม่ดีเท่าไรนัก แต่จุดแข็งของเธอคือเป็นคนที่ชอบเข้าสังคมและเล่าเรื่อง 

รวิศเลยไปปรึกษากับหัวหน้าของพนักงานคนนั้น ก่อนจะพบว่าจริงๆ แล้ว ในองค์กร ยังมีอีก ‘พื้นที่’ หนึ่งที่เหมาะกับเธอ ซึ่งคือการทำหน้าที่คล้ายๆ โฆษกของฝ่ายบัญชี คอยอธิบายแผนกอื่นๆ ถึงภาษาบัญชีที่คนทั่วไปอาจไม่เข้าใจ และการตัดสินใจครั้งนี้ก็ประสบความสำเร็จไม่น้อย

ดังนั้น องค์กรจึงมีส่วนสำคัญในการช่วยให้พนักงานเจอเวทีของตนเอง โดยรวิศได้แนะนำวิธีสร้างพื้นที่ให้บุคลากร ดังนี้

  1. สร้างพื้นที่ปลอดภัยเชิงความคิด หรือพื้นที่ที่พนักงานมีอิสระในการแสดงความเห็น ซึ่งเกิดจากการสร้าง ‘ความไว้ใจ’ ประกอบด้วย ความเชื่อถือ ความคุ้นเคย และความปรารถนาดี
  1. บอกเป้าหมาย พร้อมเหตุผลและที่มาที่ไป หรือพูดง่ายๆ คือหัวหน้าต้องตอบให้ได้ว่า ทำไปทำไม
  1. ตั้งเดดไลน์การอดทนที่อยู่ตรงกลาง หมายถึงต้องบาลานซ์ชีวิตกับสภาพการทำงานที่เปลี่ยนไปให้ได้

สุดท้ายนี้ เราเข้าใจว่า การค้นพบตัวตนอาจไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเท่าไร แต่ถ้าวันหนึ่งทำได้แล้ว ก็อยากให้รักษาคุณค่าในตนเองนั้นไว้ เพราะมนุษย์ทุกคนล้วนมีความพิเศษที่ไม่เหมือนใคร

แล้วคุณล่ะ เจอคุณค่าของตัวเองหรือยัง?

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา