ศรีจันทร์ (Srichand) แบรนด์เครื่องสำอางคุณภาพอยู่คู่คนไทยมาแล้วกว่า 76 ปี มีทั้งผลิตภัณฑ์หมวดเครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในหมวด Health, Wellness and Beauty ที่เกี่ยวกับสุขภาพความงาม ล่าสุดจัดกิจกรรม SRICHAND กล้าท้าแสง กับผลิตภัณฑ์กันแดดสกินแคร์ ศรีจันทร์ ซันลูชั่น ซันสกรีน 2 สูตร พร้อมเปิดตัว โบว์ เมลดา สุศรี เป็นพรีเซ็นเตอร์คนใหม่
โดย รวิศ หาญอุตสาหะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด ระบุว่า ตลาดกันแดดค่อนข้างโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องมาจาก 2 สาเหตุด้วยกัน เรื่องแรกคือคือ เพิ่งผ่านช่วงโควิดมา คนออกจากบ้านเยอะ อีกเรื่องคือ คนให้ความสำคัญการกันแดดมากขึ้น คนใส่ใจมากขึ้น มีการให้ความรู้กับผู้บริโภคมากขึ้นด้วย ถือว่าเป็น Skincare ที่สำคัญ เพราะแดดหรือแสงไฟมีผลต่อผิวหนังเรามาก
สำหรับการเติบโตนั้น กลุ่มสินค้ากันแดดของแบรนด์ศรีจันทร์มีการเติบโต 200% คาดว่าตลาดรวมน่าจะโตที่ประมาณ 40% ขึ้นอยู่กับว่าดูสินค้าประเภทไหนเป็นหลัก
สำหรับสินค้ากันแดดมีการใช้งานได้ทุกวัน มีทั้งคนที่ไลฟ์สไตล์แตกต่างกัน สำหรับสินค้ากันแดดของแบรนด์ศรีจันทร์นั้น ถ้าเทีบกับตลาดเครื่องสำอางโดยรวม ถือว่ามีคู่แข่งเยอะมาก เป็นหลักร้อย ไม่ได้เจาะจงแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง เราจะทำยังไงให้ครีมกันแดดประสิทธิภาพจริง มีการทดสอบโดยการวัดค่า SPF จริง ไม่มีสารระคายเคือง เราโฟกัสที่ผลิตภัณฑ์ว่าทำงานได้ดี ไม่อันตราย และเรื่องราคา เราพยายามทำสินค้าออกมาดี เกินราคาที่เราตั้งไว้ นี่คือสองปัจจัยหลัก
ต้นทุนโดยรวมขึ้นมาตั้งแต่ปี สองปีที่ผ่านมา เราพยายามไม่ปรับราคาตาม
สินค้ากันแดดของเรา ถ้าวัดที่ระดับราคาก็ถือว่าเข้าถึงในวงกว้าง เป็นผลิตภัณฑ์กันแดดที่สามารถใช้ทุกวัน เป็นของที่ผู้บริโภคทั้งผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก วัยรุ่นใช้หมด ไม่จำกัดเพศ ทุกคนต้องใช้กันแดด ถือว่าเป็นสินค้าที่สำคัญมาก ศรีจันทร์ทำครีมกันแดดมานานแล้ว แต่เพิ่งมาทำตลาดจริงจัง 3-4 ปี ซึ่งก็เป็นเพราะว่าต้องการขยายตลาดตามสภาพของตลาด ผลิตภัณฑ์กันแดดเป็นตลาดโตเร็ว เดิมที สูตรแรกเราพัฒนากับพาร์ทเนอร์ที่ญี่ปุ่น เพราะคนญี่ปุ่นทำกันแดดเก่ง แต่เราก็พยายามปรับให้เข้ากับคนไทย อากาศบ้านเราชื้นและร้อน ก็พยายามคิดค้นวิธีว่า ทำผลิตภัณฑ์ออกมาอย่างไรให้มันไม่เหนอะหนะ ซึมดี คุมมัน
สำหรับจุดแข็ง ครีมกันแดดศรีจันทร์
เป็นผลิตภัณฑ์ที่กัน UVA, UVB, กันแสงสีฟ้า กันมลภาวะ โดยมีด้วยกัน 2 สูตร คือหลอดสีเขียวเป็นสูตรแอคเน่ แคร์ สำหรับคนที่กังวลเรื่องสิว ลดการเกิดสิว ส่วนหลอดสีชมพู เป็นไวเทนนิ่ง มีความเป็นโทนอัพ ไม่ได้เป็นกันแดดเท่านั้น ทาแล้วจะหน้าสว่างขึ้น เรามีการทดสอบ ไม่มีสารอันตรายทั้งหลาย
ลูกค้าส่วนใหญ่ใช้กันแดดทุกวัน เป็นสินค้าที่ใช้กันทุกคน ไม่จำกัดเพศ ปัจจุบันมีการศึกษาพบว่า ผลิตภัณฑ์กันแดดต้องใช้ปริมาณเยอะ เช่น ใช้ 2 ข้อนิ้ว มันต้องฟอร์มให้เป็นครีมขึ้นมา ถ้าใช้น้อยก็อาจจะปกป้องไม่เพียงพอ ซึ่งแต่ละคนก็มีความชอบไม่เหมือนกัน บางคนชอบความเบาสบาย บางคนชอบให้มีความหนา ขึ้นอยู่กับกิจกรรมของแต่ละคนด้วย เหงื่อออกยากหรือเหงื่อออกง่าย รวมถึงไลฟ์สไตล์ เหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญ
สำหรับตลาดต่างประเทศ เราค่อยๆ ไป เน้นไปที่ตลาดญี่ปุ่นและลาว ประเทศลาวรับสื่อใกล้เคียงบ้านเรา ส่วนญี่ปุ่นมีผู้จัดจำหน่ายเก่ง ผลิตภัณฑ์สำหรับเมืองไทยโดยเฉพาะหน้าร้อน เมืองไทยร้อนมาก ควรดีไซน์ให้เหมาะตลาดช่วงหน้าร้อนที่ญี่ปุ่นเหมือนกัน
ยอดขายพอร์ทไม่ใหญ่มาก โต 200% ติดต่อกันสองปี คิดว่าปีนี้จะโต 200%
ซึ่งปีนี้ ภาพรวมศรีจันทร์ โต 30-50% น่าจะดี เป็นการโตจากการขยายพื้นที่ตลาดและโปรดักต์ใหม่ๆ และสภาพตลาดโดยรวม ปีนี้ ตลาดบิวตี้ดีมาก โตขึ้น 10.4% สกินแคร์เติบโตสูงสุด ปกติศรีจันทร์ออกโปรดักต์ 2 เดือน 1 ตัว
ตลาดความงาม ถ้ามองจากการขายปลายทาง ยอดขาย retail ประมาณ 3 แสนกว่าล้าน อย่างศรีจันทร์ขายผ่านรีเทรเลอร์อีกที ไซส์ตลาดจะเล็กกว่า
ถ้าไม่นับโควิด ที่ถือว่ากำลังซื้อหายจริง แต่ถ้าย้อนดูประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นช่วงวิกฤต ตลาดความงาม มันจะเปลี่ยนจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง เคยใช้ของแพง ไปของที่ถูกลง ตลาดความงามซับซ้อนมาก ลองนึกถึงภาพตลาดเครื่องดื่มมีผู้เล่นนับคนได้ แต่ตลาดความงามนับไม่ได้เลย เพราะเยอะมาก มีทั้งจำหน่ายหน้าร้าน ตัวแทน ออนไลน์ ค่อนข้างหลากหลายมาก มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคด้วย มีความซับซ้อนในตัวมันเอง
กลยุทธ์ของศรีจันทร์ตอนนี้ เราเน้นลองให้เยอะ ลองให้เร็ว ลองให้มากที่สุด เพราะมีบางอย่างที่เราพอรู้ วิธีการคือต้องลองเยอะๆ เทสต์ตลาดไปเรื่องๆ โปรดักต์ไหนไม่เวิร์กก็เก็บกลับไป หัวใจในการทำตลาดตอนนี้ ต้องดูว่า ทำอย่างไรให้เกิด Experiment ให้เร็วที่สุด ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมเร็วมาก คิดยาก ต้องเทสต์ วัดผล ถึงจะเห็นชัดว่าเขาอยากได้อะไร
ปีที่แล้วปิดยอดขายที่ 1,030 ล้าน สำหรับรายได้ของบริษัทมาจากศรีจันทร์ 65% จะมีความ Stable กว่าแบรนด์ SASI มีโปรดักต์หลากหลาย และมีกลุ่มที่ใหญ่กว่า SASI ซึ่งมีรายได้อยู่ที่ 35% ถือว่าเป็นแบรนด์คอสเมติกเครื่องสำอางวัยรุ่นมาก
สำหรับประเด็น Soft Power หากภาครัฐสนใจเรายินดีมากที่จะเป็นหนึ่งในคนที่ช่วยผลักดันเรื่องนี้ เช่น ครีมกันแดด ถ้าเรารู้สึกว่าประเทศเรามันร้อนมาก เราต้องทำกันแดดเก่ง เราจึงมีคนที่พัฒนากันแดดเยอะ สามารถส่งออกเรื่องนี้ไปได้ ทีมบิวตี้เป็นอีกหนึ่งซอฟต์พาวเวอร์ เพราะเรามีความยูนิค และตลาดไทยก็ใหญ่มากๆ ในเอเชีย แต่ก็ต้องอาศัยความร่วมมือจากแบรนด์ไทยและแรงสนับสนุนจากภาครัฐด้วย ตอนนี้ภาครัฐเขามองเป็นภาพใหญ่ เช่น วิธีการแบบเกาหลี เอนเตอร์เทนเมนท์ ส่งออกเชิงวัฒนธรรมก่อน และค่อยส่งออกบิวตี้ แฟชั่น อาหาร เครื่องดื่มตามไป
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา