“ปรากฏการณ์สรยุทธ” เมื่อกรรมกรข่าว return in digital ไม่ง้อทีวี คู่แข่งที่สื่อหลักต้องระวัง

ตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นมาหนึ่งในข่าวใหญ่ของประเทศไทยคือ เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ภาคใต้กินพื้นที่หลายจังหวัด ซึ่งภาครัฐ เอกชนและประชาชนกำลังร่วมแรงใจกันช่วยเหลือคนไทยในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ มีการนำเสนอข่าวผ่านทางช่องทีวีต่างๆ เห็น ผู้สื่อข่าว พิธีกรรายการข่าว แทบทุกช่อง “ลงพื้นที่” ลุยน้ำลุยฝนกันอย่างเต็มที่

ภาพทั้งหมดทำให้หลายคนนึกถึงพิธีกรรายการข่าวชื่อดังที่หายไปจากหน้าจอทีวี ซึ่งถือเป็นคนที่ลุยทำข่าวพื้นที่น้ำท่วมเป็นคนแรกๆ คือ สรยุทธ สุทัศนะจินดา หรือคนที่เรียกตัวเองว่า “กรรมกรข่าว” ซึ่งวันนี้ได้หวนกลับคืนสู่วงการข่าวอีกครั้ง

ในรูปแบบของดิจิทัล

ปรากฏการณ์สรยุทธ ผ่าน Facebook Live

สรยุทธ ได้ประกาศยุติบทบาทการทำหน้าที่พิธีกรรายการข่าวของช่อง 3 เมื่อวันที่ 3 มี.ค. 59 หรือปีที่ผ่านมา หลังจากมีประเด็นปัญหาเรื่องค่าโฆษณา อสมท. ซึ่งมีการแสดงความคิดเห็นทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการยุติบทบาทในครั้งนั้น ผลที่เกิดขึ้นต้องยอมรับว่า เสน่ห์ของรายการเล่าข่าวของช่อง 3 ที่มีสรยุทธเป็นผู้นำรายการหายไปในทันที และทำให้ช่องทีวีอื่นๆ อาศัยจังหวะในการชิงเรทติ้งทันที

เพราะเจ้าพ่อของวงการเล่าข่าวได้หายไปจากหน้าจอทีวีอย่างไม่มีกำหนด

แต่แล้ววันที่ 29 ธ.ค. 59 ที่ผ่านมา สรยุทธ ได้หวนคืนวงการอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ผ่านทาง Facebook Fanpage สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว จากนั้นก็เริ่มมีการนำเสนอรูปภาพและคลิปวิดีโอ ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนอยู่พอสมควร

จนกระทั่งเริ่มการทำข่าวเหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้ ตั้งแต่ประมาณวันที่ 8 ม.ค. 59 มีการรายงานข่าวตลอดเส้นทางที่ สรยุทธ เดินทางจากกรุงเทพลงไปพื้นที่ภาคใต้ เรียกได้ว่าเกิดเป็นปรากฏการณ์สรยุทธ ผ่าน Facebook Live ขึ้น

ดิจิทัล ทางเลือกที่เข้าถึงคนได้ทันที คู่แข่งสื่อหลักที่น่ากลัว

ต้องยอมรับว่าแต่เดิม สรยุทธ และรายการเล่าข่าว มีเรทติ้งสูงมาก นำคู่แข่งอยู่มาก อย่างน้อยหลายคนก็เปิดทีวีไว้ฟังตอนเช้า แต่พอไม่มีสรยุทธ ทำให้เรทติ้งช่อง 3 ในช่วงนี้ตกลงมากเช่นกัน เกิดพิธีกรสไตล์เล่าข่าวขึ้นหลายคนในหลายช่องทีวี จนกระทั่ง สรยุทธ ได้หวนคืนวงการผ่านช่องทางดิจิทัล สิ่งที่เกิดขึ้นจากปรากฏการณ์นี้คือ

  •  เห็นกระแสตอบรับในช่วงเวลา 2-3 วันที่ดีมากจากผู้บริโภค แสดงว่าคนยังติดกับสไตล์การทำข่าวและการอ่านข่าวของสรยุทธอยู่ไม่น้อย ดังนั้นยอด Like แฟนเพจ และยอดแชร์คลิปจึงพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
  •  เป็นสิ่งที่สื่อหลักต้องให้ความสนใจอย่างยิ่ง เพราะตอนนี้ สรยุทธ ไม่มีสื่อหลักที่ต้องสังกัด (เดิมคือช่อง 3) แต่สามารถทำช่องข่าวของตัวเองผ่าน Facebook ได้โดยตรง นำเสนอข่าวได้แบบอิสระ ตลอด 24 ชั่วโมง
  •  รูปแบบดิจิทัลผ่าน Facebook มีความยืดหยุ่นสูง ทำข่าวได้หลากหลาย เช่น ข่าวไลฟ์สไตล์ ข่าวรายงานสถานการณ์ ข่าวสัมภาษณ์ ซึ่งทั้งหมดไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา ทำสั้น ทำยาว หรือทำออกตอนไหนก็ได้ ดูย้อนหลังได้ มีผู้บริโภคช่วยกันแชร์ และมีความ real มากกว่าข่าวทีวี คนดูสามารถสัมผัสบรรยากาศ ความรู้สึกได้มากกว่า
  •  เทียบกับข่าวทีวี ต้องรอคนดูอยู่หน้าจอ มีช่วงเวลาในการออกอากาศที่จำกัด ดูย้อนหลังได้ลำบาก และยังต้องแข่งขันกับช่องทีวีอีกหลายช่อง รวมถึงต้องแย่งเวลากับผู้บริโภคที่หันไปอยู่กับโลกโซเชียลและอินเทอร์เน็ตมากกว่าหน้าทีวีด้วย
  •  ส่วนสำคัญหลักที่สุดคือ สรยุทธ ซึ่งเป็น Influencer ในวงการข่าวอยู่แล้ว มีคนพร้อมจะติดตามผลงานเป็นจำนวนมาก ได้กระโดดมาทำช่องข่าวของตัวเองผ่าน Facebook โดยไม่ง้อสื่อหลัก น่าจะเป็นสิ่งที่สื่อหลักต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ
ตัวเลขยอด fanpage เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลา 2-3 วัน

บทสรุป นี่เป็นเพียงก้าวแรก รอดูก้าวต่อไปให้ดี

สรยุทธ อาศัยช่วงเหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้ เป็นจังหวะที่ดีในการเปิดตัวการทำข่าวผ่านช่อง Facebook ของตัวเอง ถือเป็นโอกาสที่ดีมาก และเชื่อว่านี่จะเป็นเพียงก้าวแรกของการกลับมาเท่านั้น ก้าวต่อไปน่าจะมีอะไรที่น่าติดตามมากกว่านี้ ยิ่งสรยุทธ มีพันธมิตรที่หลากหลาย เช่น ชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์, ตัน ภาสกรนที ซึ่งหากเกิดความร่วมมือขึ้น น่าจะส่งผลกระทบต่อวงการไม่น้อย

เทียบในกรณีที่ใกล้เคียงกัน ก่อนหน้านี้ วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา ซึ่งถือเป็นหนึ่งใน Influencer เช่นเดียวกัน ก็ได้ประกาศเลิกการทำ วู้ดดี้เกิดมาคุย (รายการกลางคืน) ซึ่งจะออกอากาศถึงแค่ประมาณเดือน ก.พ. นี้เท่านั้น จากนั้นจะเริ่มต้นทำรายการผ่านทางดิจิทัล ทั้ง Facebook Live และ Youtube เพราะมีความคล่องตัว อิสระ และสร้างสรรค์รูปแบบ การนำเสนอได้มากกว่า

สื่อหลักที่มีขนาดใหญ่ แต่ปรับตัวได้ช้า เทียบกับบริษัทขนาดเล็ก ยิ่งถ้ามี Influencer ที่คนติดตามและมีความสามารถ ใช้สื่อดิจิทัลเป็นเครื่องมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ เชื่อว่าจะสร้างปรากฏการณ์บางอย่างให้เกิดขึ้น และเป็นคู่แข่งที่สื่อหลักต้องระวัง

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา