EIC เผยผลวิจัย Social Commerce เทรนด์ค้าออนไลน์ที่มาแรงไม่แพ้ Lazada

นักช้อปออนไลน์ไทยกว่า 51% ซื้อสินค้าออนไลน์ผ่าน Social Media อย่าง Facebook และ Instagram หรือที่เรียกว่า Social Commerce เป็นสัดส่วนที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก เทียบกับค่าเฉลี่ยของโลกที่ 16%

Social Commerce platform จึงเป็นอีกช่องทางค้าออนไลน์ที่ผู้ประกอบการไทยไม่อาจมองข้าม อย่างไรก็ดี ผู้บริโภคชาวไทยยังคงนิยมซื้อสินค้าออนไลน์ผ่าน social media เป็นอันดับสอง รองจาก Lazada ของ Alibaba ดังนั้น ภายใต้ต้นทุนในแต่ละช่องทางการขายที่แตกต่างกัน ผู้ประกอบการไทยจะเลือกการขยายธุรกิจผ่าน Social Commerce platform หรือ e-Market place platform อย่าง Lazada จึงจะตรงกับเป้าหมายและประเภทธุรกิจมากที่สุด

Social media ได้พัฒนา function ต่างๆ เพื่อรองรับ Social Commerce ที่เติบโตอย่างรวดเร็วไม่ว่าจะเป็นการพัฒนา Chatbot หรือระบบตอบข้อความอัตโนมัติที่ Facebook และ Line ได้พัฒนาขึ้นเพื่อให้ผู้ซื้อพูดคุยโต้ตอบกับผู้ขายได้สะดวก Facebook Group ที่เพิ่ม feature “Sell & Buy” เข้ามาตอบโจทย์การซื้อขายเฉพาะกลุ่ม

นอกจากนี้ Facebook ยังได้มีการสร้างพันธมิตรการค้ากับ PayPal ผู้นำด้านการชำระเงินแบบดิจิทัล เปิดตัว PayPal.Me เพื่อการชำระเงินในรูปแบบดิจิทัลที่สะดวก รวดเร็ว มีความปลอดภัยสูง อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหาการชำระเงินใน Social Commerce ที่มักใช้การโอนเงินผ่าน ATM หรือ Internet Banking ซึ่งอาจสร้างความยุ่งยากในการซื้อสินค้า และต้องอาศัยความไว้ใจระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายในการทำธุรกรรม

ผู้บริโภคชาวไทยนิยมซื้อสินค้าออนไลน์ผ่าน social media เป็นอันดับสอง รองจากยักษ์ใหญ่อย่าง Lazada ภาพดังกล่าวสะท้อนว่ายังมีผู้ประกอบการไทยจำนวนไม่น้อยที่ขายสินค้าผ่าน Social Commerce ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการรายย่อยชาวไทย โดยสินค้าที่ซื้อขายมักมีมูลค่าไม่สูง เน้นตลาดภายในประเทศ

ขณะที่ผู้ประกอบการใน Lazada มักเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ต้องมีความสามารถในการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง และทนต่อความเสียหายได้หากลูกค้ามีการยกเลิกการสั่งซื้อหรือเปลี่ยนคืนสินค้า โดย Lazada เป็นช่องทางการจัดจำหน่ายที่มีฐานผู้ใช้จำนวนมาก ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จึงได้ประโยชน์จากการขายสินค้าได้ในปริมาณมาก แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการลดราคาสินค้า ค่าธรรมเนียมรายปี หรือส่วนแบ่งจากยอดขายที่ค่อนข้างสูง โดยสินค้าบางประเภท เช่น สินค้าแฟชั่น มีค่าคอมมิชชั่นสูงถึง 10%

สินค้าที่ผู้บริโภคซื้อผ่าน social media ส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่มีมูลค่าไม่สูงนัก และไม่ต้องการบริการหลังการขายหรือรับประกันสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม เสื้อผ้าและรองเท้า นอกจากนี้ พฤติกรรมของผู้บริโภคมีลักษณะที่แตกต่างกันไป โดยผู้ซื้อสินค้าผ่าน social media มักมีแรงจูงใจในการซื้อสินค้าจากการพบสินค้าโฆษณาบน social media ที่ใช้ประโยชน์จาก recommendation system

ขณะที่ผู้ซื้อสินค้าบน e-Market place มักมีความต้องการสินค้าอยู่ก่อนแล้วจึงเลือกหาสินค้า ดังนั้น สินค้าที่ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจซื้อได้ง่ายและมีมูลค่าไม่สูงนัก อย่างผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม เสื้อผ้าและรองเท้า จึงได้รับความนิยมบน Social Commerce ส่วนสินค้าที่มักต้องมีการวางแผนก่อนซื้อ เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้าน จึงมักจะได้รับความนิยมบน e-Market place อย่าง Lazada มากกว่า

อย่างไรก็ตาม การแข่งขันที่ดุเดือดมากขึ้น จากทั้ง Alibaba ที่พร้อมลุยตลาดอาเซียนผ่าน Lazada หรือ JD.com ที่เตรียมจับมือกับ Central group ของไทย อีกทั้งยังมีผู้เล่นรายอื่น เช่น Amazon, 11 street, Shopee ผู้เล่นเหล่านี้มาพร้อมกับโครงสร้างพื้นฐานด้าน e-Commerce ที่จะอำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภคออนไลน์อย่างครบวงจร มีความน่าเชื่อถือ เสนอสินค้าที่หลากหลายและราคาที่ผู้บริโภคพึงพอใจมากที่สุด

ดังนั้น ผู้ประกอบการที่เคยนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาขายผ่าน social media หรือแม้กระทั่งใน e-Market place อาจไม่สามารถอยู่รอดได้ หากผู้ประกอบการต่างชาติเหล่านั้นเลือกที่จะมาลุยตลาดไทยด้วยตัวเองผ่าน e-Market place หลังจากทราบว่าสินค้าเหล่านั้นได้รับความนิยมจากลูกค้าชาวไทย

EIC มองว่า ผู้ประกอบการที่มีความพร้อมทั้งในด้านชื่อเสียง เงินทุน และความสามารถในการแข่งขัน สามารถขยายธุรกิจผ่าน platform online หลายๆ ประเภทไปพร้อมกันได้ ไม่ว่าจะเป็น e-Market place, Social Commerce หรือ platform อื่นๆ เช่น website เพื่อขยายโอกาสและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้ได้มากที่สุด

ผู้ประกอบการรายใหม่ โดยเฉพาะ SME ที่ยังไม่มีชื่อเสียงและเงินทุนในการทำการตลาดออนไลน์ อาจเริ่มต้นกลยุทธ์การตลาดในช่วงแรกในการสร้าง Brand Awareness ผ่าน social media เนื่องจากเป็นช่องทางที่ต้นทุนไม่สูงนัก อีกทั้งยังเป็นการใช้ประโยชน์จากความนิยมของคนไทยที่ใช้เวลาในแต่ละวันไปกับ social media ค่อนข้างมาก

ผู้ประกอบการอาจต้องเสียค่าโฆษณาให้กับ social media หากต้องการให้สินค้าของตนแสดงผลบน Newsfeed ของผู้ใช้งานให้มากขึ้น หลังจากนั้น เมื่อแบรนด์เริ่มเป็นที่รู้จัก ธุรกิจมีความพร้อมที่จะลงทุนเพื่อขยายกิจการ และพร้อมที่จะแข่งขันด้านราคากับธุรกิจคู่แข่ง ผู้ประกอบการจึงควรขยายธุรกิจผ่าน e-Market place เพื่อเข้าถึงฐานลูกค้าขนาดใหญ่ และก้าวสู่การขยายตลาดไปยังต่างประเทศในระยะต่อไป

ข้อมูลวิจัยโดย พิมพ์นิภา บัวแสง EIC SCB

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา