ตู้หยอดเหรียญแบบที่คุ้นเคยกำลังจะเปลี่ยนหน้าตาไป เพราะเทคโนโลยีแห่งยุคสมัยอย่าง AI และ Machine Learning สินค้าก็คงยังอยู่ในตู้ แต่จะสั่งซื้อจากที่ไหนก็ได้ทุกที่ทุกเวลา แบรนด์ใหญ่ Coca Cola เริ่มทำแล้ว
ตู้หยอดเหรียญอัจฉริยะ ใช้เทคโนโลยีแห่งยุคทุกแขนง
ดิจิทัล disrupt ทุกวงการ แม้กระทั่งตู้หยอดเหรียญ หลังจากนี้เราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น โดยนำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าไปใส่ ไม่ว่าจะเป็น AI และ Machine Learning
อธิบายกันแบบง่ายๆ ก็คือ เทรนด์การพัฒนาตู้หยอดเหรียญหลังจากนี้ จะเป็นการนำเอาเทคโนโลยีแห่งยุคเข้าไปใส่ เพื่อให้ทำงานได้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคมากขึ้น เป็นต้นว่า จดจำใบหน้าของผู้ซื้อ หรือสั่งซื้อสินค้าจากบ้านแล้วไปรับที่ตู้ มากกว่านั้นทุกการสั่งซื้อจะบันทึกเป็นฐานข้อมูลไว้ ครั้งต่อไปที่ไปกดซื้อสินค้า หมวดหมู่ที่เข้าดูบ่อย ซื้อบ่อย หรือมีแนวโน้มที่จะซื้อก็โผล่ขึ้นมาให้เลือกซื้ออย่างรู้ใจบนฐานของข้อมูลขนาดใหญ่
Coca Cola บริษัทเครื่องดื่มรายใหญ่ที่ใครก็รู้จัก เพิ่งเปิดตัวตู้หยอดเหรียญอัจฉริยะไปในนิวซีแลนด์และสหรัฐอเมริกา โดยตู้เหล่านี้ได้ติดตั้งระบบที่เชื่อมข้อมูลบน Cloud สามารถสั่งซื้อสินค้าจากที่ไหนก็ได้แล้วค่อยไปรับสินค้าจากตู้ และมีการใช้ Chatbot ร่วมด้วย
หรืออย่างในนิวยอร์กมีการเปิดตัวตู้ VICKI โดยลูกค้าสามารถล็อกอินผ่าน Social Media ที่มีอยู่แล้วเชื่อมต่อเข้าระบบของตู้ได้ นอกจากนั้นยังสามารถสแกนลายนิ้วมือหรือสแกนม่านตา เก็บข้อมูลทั้งหมด การมาซื้อครั้งต่อไป บรรดาสินค้าและโฆษณาจะแสดงผลสอดคล้องกับประวัติการซื้อของลูกค้าแต่ละคน
เราอาจจะยังไม่ได้เห็นตู้อัจฉริยะกันในเร็ววันนี้ แต่บริษัทวิจัยในสหรัฐอเมริกา Grand View Research ให้ข้อมูลไว้ว่าในปี 2025 ตลาดตู้ของลักษณะนี้จะมีมูลค่าถึง 11,840 ล้านเหรียญ
ส่วนบริษัทวิจัยด้านการตลาด Berg Insight ระบุว่า ในปี 2020 ตู้อัจฉริยะเหล่านี้จะกระจายไปทั่วกว่า 3.6 ล้านเครื่อง
ชัดเจนว่า สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดตู้หยอดเหรียญที่ใหญ่ที่สุดโลก แต่ญี่ปุ่นก็เป็นตลาดที่น่าสนใจ ในรายงานระบุว่า ตู้หยอดเหรียญได้รับความนิยมมาก เพราะมีขายกันตั้งแต่ซุปปลาไปจนถึงลูกสุนัขตัวเล็กๆ โดยสัดส่วนตู้ต่อคนญี่ปุ่นอยู่ที่ 1 ต่อ 23
และอย่างสุดท้าย สำหรับในภาคภาษาไทย เราอาจต้องมาคิดชื่อใหม่สำหรับ “ตู้หยอดเหรียญ” เพราะต่อไปเทคโนโลยีจะพัฒนามากขึ้น และเหรียญก็จะกลายเป็นเรื่องล้าหลัง ก็เขาไปจ่ายเงินผ่านระบบ Mobile Payment กันแล้ว
ที่มา – Venturebeat
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา