เรื่องเล่า “ความลับของฟ้า” จาก ธนา เธียรอัจฉริยะ

บทความโดย อานนทวงศ์​ มฤคพิทักษ์ Head of People ของ Wongnai

ที่ Wongnai เราจะมีกิจกรรม Wongnai WeShare เดือนละสองครั้งเพื่อเชิญคนเจ๋งๆ จากหลากหลายวงการมาเปิดโลกทัศน์ให้กับพนักงานของเรา

วันศุกร์ที่ผ่านมา เราได้พี่โจ้ธนา เธียรอัจริยะ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงานการตลาด ธนาคารไทยพาณิชย์ มาเล่าประสบการณ์ให้เราฟัง

สนุกมาก ได้ประโยชน์มาก ขอคัดสรรบางส่วนมาไว้ตรงนี้เพื่อส่วนรวมครับ

—–

ความลับของฟ้า

ปีนี้พี่โจ้อายุ 51 แล้ว ผ่านอะไรมาเยอะ เลยอยากทำหน้าที่คล้ายๆ Wongnai ว่าที่ไปกินมา ร้านไหนอร่อย ร้านไหนไม่อร่อย แล้วมาเล่าให้ฟัง จะได้ไม่ต้องเลี้ยวผิด ไม่ต้องไปเจออาหารที่ไม่อร่อย

พี่โจ้เรียกสิ่งที่เขาจะบอกเราว่าเป็นความลับของฟ้า

—–

ยิ่งออกกำลัง ยิ่งได้กลับ

ตอนอายุ 37 ปี สมัยอยู่ DTAC  พี่โจ้เคยน้ำหนักเกือบ 100 กิโล กินอาหารแบบอชีวจิตผักไม่กิน กินบุฟเฟ่ต์ฟัวกราส์คราวละ 30-40 ชิ้น

เย็นวันหนึ่งระหว่างกินบุฟเฟ่ต์ฟัวกราส์ พี่โจ้รู้สึกว่าหัวใจเต้นผิดปกติ ต้องขับรถไปโรงพยาบาล นอน CCU ไป 1 คืน

เป็นคืนที่แย่ที่สุดในชีวิต และเป็นคืนที่ดีที่สุดในชีวิตด้วย เพราะวิกฤติมาสะกิดเตือนเราเบาๆ ว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนพฤติกรรมแล้ว

หลังจากนั้นพี่โจ้จึงเริ่มกินผัก และเริ่มวิ่งเป็นประจำ วันแรกๆ วิ่งได้แค่ 400 เมตร ตอนนี้สามารถวิ่งได้ 10 กิโลเมตรสบายๆ พี่โจ้แคปหน้าจอแอปวิ่งให้เห็นว่า พี่โจ้วิ่งครบ 10,000 กิโลเมตรไปเรียบร้อยแล้ว

พี่โจ้รู้สึกขอบคุณที่ได้เข้า CCU ตั้งแต่ตอนอายุ 37 เพราะถ้าตอนนั้นยังไม่เปลี่ยน แล้วมาป่วยตอนอายุ 51 ปีน่าจะรอดยาก

นอกจากวิ่งแล้ว พี่โจ้ยังเข้าโรงยิม ได้คุยกับพี่ปัญจะที่อายุ 75 ปีแล้วแต่ยกเวทได้มากกว่าพี่โจ้อีก พี่ปัญจะยังดูสมาร์ท ยังดูแข็งแรงมาก

ยิ่งทำอะไรที่เราได้ต้านแรงโน้มถ่วง เราจะยิ่งได้กำลังกลับไปมากขึ้นเท่านั้น

ยิ่งไม่รู้ ยิ่งรู้

SCB เปลี่ยนไปเยอะมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

การจะเปลี่ยนองค์กรที่อยู่มา 110 ปี พนักงาน 26,000 คน ไม่ใช่เรื่องง่าย

ความรู้สำคัญที่สุดของ SCB คืออะไร?

เมื่อพี่โจ้ได้เข้ามาทำงานที่ SCB และตั้งกองทุน fintech แรกของเมืองไทย จึงเข้าไปขอคำปรึกษาผู้ใหญ่ท่านหนึ่งซึ่งคร่ำหวอดในวงการมาช้านาน

แล้วผู้ใหญ่ท่านนั้นก็ได้กล่าวประโยคหนึ่งที่ทำให้พี่โจ้ตระหนักว่า SCB จะเปลี่ยนไปตลอดกาล

ประโยคนั้นคือผมไม่รู้

ขนาดคนที่เก่งที่สุดยังยอมรับว่าตัวเองไม่รู้

เมื่อยอมรับว่าตัวเองไม่รู้ ความรู้จึงไหลเข้ามา SCB จึงเปลี่ยนไปอย่างที่เห็น

เพราะคนที่คิดว่าตัวเองรู้เยอะแล้วมักเรียนรู้เพิ่มไม่ได้

และคนที่จะเก่งได้ในยุคนี้ คือคนที่มี ability to learn คนที่เป็นน้ำไม่เต็มแก้วอยู่เสมอ

—–

ยิ่งไม่รู้ ยิ่งไม่กลัว

David & Goliath เป็นตำนานการต่อสู้ที่อยู่ในพระคัมภีร์ของศาสนายิว

สมัยนั้นเวลาจะรบกัน กองทัพสองฝั่งจะส่งทหารที่เก่งที่สุดออกมา หากใครชนะก็ถือว่าฝ่ายนั้นชนะไปเลย จะได้ไม่ต้องสู้รบกันให้เสียไพร่พล

ฝั่งของ Philistine ส่งนักรบที่ชื่อว่า Goliath ออกมา โกไลแอทตัวสูงใหญ่ราวสองเมตร น่าเกรงขามมาก

อีกฝั่งซึ่งเป็นกองทัพของชาวยิวไม่มีใครกล้าออกมาสู้ สุดท้ายมีเด็กเลี้ยงแกะชื่อ David เสนอตัว

ถ้าจะให้นิยามด้วยศัพท์สมัยนี้ เดวิดคือเด็กแว้นที่ไม่ได้สำเหนียกถึงความน่ากลัวของโกไลแอท

แถมเดวิดยังไม่รู้ด้วยว่าธรรมเนียมการสู้แบบส่งตัวแทนออกมานั้น คือการสู้แบบประชิดตัว

เพราะเดวิดไม่รู้ธรรมเนียมข้อนี้ จึงใช้ห่วงเชือก (sling) ยิงก้อนหินไปที่หัวของโกไลแอท

ฝ่ายโกไลแอทเองก็นึกไม่ถึงว่าเดวิดจะใช้ไม้นี้ เลยไม่ทันระวังตัว โดนก้อนหินเข้าที่หัวอย่างจังจนสลบและล้มลง เดวิดจึงรีบเข้าไปตัดคอทันที

เด็กแว้นเดวิดจึงได้กลายเป็นวีรบุรุษ และขึ้นเป็นกษัตริย์ของชาวยิว

—–

อีกหนึ่งตัวอย่างคือเรื่องของ Cliff Young ชายวัยเกษียณที่ลงแข่ง Ultra Marathon

งานนี้โหดสุดๆ เพราะต้องวิ่งจาก Sydney ไป Melbourne รวมระยะทาง 875 กิโลเมตร

Young ไม่เคยลงแข่งงาน Ultramarathon มาก่อน เคยแต่วิ่งต้อนแกะที่ฟาร์มมาเป็นสิบปี วันที่เขาลงแข่ง Young มีอายุ 61 ปี ทีมหมอและพยาบาลต่างจับตาดู กลัวลุง Young จะหัวใจวายระหว่างแข่ง

วันแรกๆ Young วิ่งรั้งท้าย มีรถพยาบาลคอยวิ่งตาม แต่ยิ่งคืนวันผ่านไปอันดับของเขากลับดีขึ้นเรื่อยๆ

แล้วก็เกิดเรื่องเหลือเชื่อ เมื่อ Young เข้าเส้นชัยเป็นอันดับหนึ่งด้วยเวลา 5 วัน 15 ชั่วโมง ทำลายสถิติเก่าลงอย่างราบคาบ คนที่ได้ที่สองช้ากว่าหนึ่งวันเต็มๆ

เรื่องมาถึงบางอ้อเมื่อ Young ให้สัมภาษณ์ ว่าเขาไม่รู้ว่ารายการนี้อนุญาตให้นอนพักได้ ก็เลยใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการวิ่ง ทุกวันจะแอบงีบแค่ 2-3 ชั่วโมงก่อนจะลุกขึ้นมาวิ่งต่อ

ปีถัดมา Cliff Young ก็ลงแข่งอีก แต่ไม่ชนะแล้ว เพราะ Young รู้เสียแล้วว่านอนได้

ภาพจาก Shutterstock

ยิ่งไม่มีประสบการณ์ ยิ่งแตกต่าง

หนังของ Marvel ยุคแรกๆ แพ้หนังของค่าย DC อย่างไม่เห็นฝุ่น ทำหนังห่วยๆ อย่าง Dare Devil ที่ได้เรตติ้งเพียง 5 เต็ม 10 ในเว็บ IMDB.com

แต่มายุคหลัง หนังของ Marvel กลับดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา

เคล็ดลับคือ Marvel เอาผู้กำกับหนังที่ไม่เคยทำหนัง Action มาก่อนมากำกับ

เอาผู้กำกับหนังผี หนังโรแมนติก มาทำหนังของ Marvel

หนังสุดดราม่าอย่าง Joker ก็ใช้บริการ ของ Todd Philiips ที่ทำหนังตลกโปกฮาอย่าง The Hangover มาหลายภาค

—–

เด็กผู้ชายทุกคนที่อายุเกิน 30 ย่อมรู้จักการ์ตูนเรื่องซึบาสะ เจ้าหนูสิงห์นักเตะ

นักเตะดังๆ อย่าง Ronaldo Messi Iguain ล้วนมีซึบาสะเป็นแรงบันดาลใจ

ในซึบาสะมีท่าพิสดารมากมาย เช่นท่ายิงประตูพร้อมกันสองคนจนลูกพุ่งแบบส่ายไปส่ายมาเข้าประตูตาข่ายขาด

แต่รู้มั้ยครับว่าอาจารย์โยอิจิ ทะกะฮะชิ ผู้เขียนซึบาสะนั้นเตะบอลไม่เป็น!

ถ้าเตะบอลเป็นคงไม่กล้าคิดท่าประหลาดๆ อย่างลูกชู้ตที่ใช้สองคนยิงพร้อมกัน เพราะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้

เมื่อไม่มีประสบการณ์ จึงไม่มีข้อจำกัด จึงไม่รู้ว่าอะไรเป็นไปไม่ได้ จึงเป็นไปได้

ยิ่งไม่มี ยิ่งสร้างสรรค์

ยิ่งเงินน้อย ยิ่งเวลาน้อย ยิ่งโคตรสร้างสรรค์

เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว AIS และ Orange กำลังรุกตลาดโทรศัพท์แบบเติมเงินในต่างจังหวัด ทั้งสองค่ายงบเยอะมาก ส่วน DTAC งบน้อยกว่ากันเยอะ

ตอนแรกดีแทคก็คิดแบบคนรวย เรียกเอเจนซี่มาคุย เอเจนซี่เสนอให้จัดคอนเสิร์ต เพราะแบรนด์ใหญ่ๆ เค้าทำกันทั้งนั้น ในคอนเสิร์ตจะมีป้ายโลโก้เล็กๆ ของเราแปะอยู่ แล้วก็ให้ศิลปินกล่าวขอบคุณบนเวที

ถามว่าจัดคอนเสิร์ตหนึ่งครั้งใช้เงินเท่าไหร่ เอเจนซี่บอกว่า 500,000 ถึง 1,000,000 บาท

ถ้าดีแทคมีเงินก็คงทำไปแล้วเหมือนกัน แต่บังเอิญไม่มีเลยต้องหาทางอื่น

พี่โจ้กลับมาถามตัวเองว่าถ้าอยากให้คนต่างจังหวัดรู้จักแบรนด์ของเราต้องทำยังไง มีกิจกรรมอะไรบ้างที่คนต่างจังหวัดมักจะไปรวมตัวกัน

งิ้วหรือลิเกคงไม่เวิร์คแน่ๆ เพราะมีแต่ป้าแก่ๆ กับหมา

แล้วก็ได้ไอเดียว่าหนังกลางแปลงไง คนมากันเยอะ แต่จะเริ่มยังไงดี

พี่โจ้เลยโทรหาพ่อ (พี่โจ้บอกว่า ถ้าเราคิดอะไรไม่ออก ให้โทรหาพ่อ) พ่อขายอะไหล่ แต่มีเพื่อนเป็นสายหนัง พอติดต่อกับสายหนัง เขาก็รู้จักคนทำหนังกลางแปลง เก็บค่าตั๋ว 20 บาท สถานที่ฟรีหมด คนดูหลายพันคน น้อยกว่าคอนเสิร์ตครึ่งนึง

ดีแทคก็เลยตัดสินใจพาแบรนด์ Happy ของ DTAC ไปฉายหนังกลางแปลงทั่วประเทศ ข้อดีคือไม่ต้องจ่ายค่าเช่าสถานที่ ฉายหนังโฆษณาตอนต้นเรื่องก็ได้ ฉายหนังไปครึ่งเรื่องฉายโฆษณาอีกทีก็ยังได้เพราะคนดูไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว

จัดคอนเสิร์ตต้องจ่ายครั้งละ 1,000,000 บาท จัดหนังกลางแปลงจ่ายแค่ครั้งละ 40,000 บาท

ภายในหนึ่งปีดีแทคจัดหนังกลางแปลงไป 700 ครั้ง เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ทะลุทะลวงกว่าการจัดคอนเสิร์ตมากมายนัก

ขอบคุณภาพจาก FB โน้ต อุดม แต้พานิช FC

ยิ่งล้มเหลว ยิ่งสำเร็จ

ทุกๆ คนที่ทำอาชีพนี้จะต้องเรียนรู้
ที่จะเล่าอะไรแล้วแป้กก่อน
เพราะมันจะเป็นวัคซีนคุ้มกัน
ควรจะหาเวลาไปแป้กบ่อยๆ
อุดม แต้พานิช

ก่อนพี่โน้ตจะขึ้นเวทีเดี่ยวไมโครโฟนแต่ละครั้ง เขาจะตระเวนไปตามโรงเรียนก่อน

ไม่ใช่เพื่อสร้างกระแส แต่เพื่อทดลองมุกใหม่ๆ ของเขา

ลองกับกลุ่มคนเล็กๆ ความเสี่ยงต่ำ มุกไหนแป้กก็ทิ้งไป มุกไหนเวิร์คก็เก็บไว้ใช้ในเดี่ยวฯ

ยิ่งแป้กบ่อยแค่ไหน มุกยิ่งตรงเป้ามากขึ้นเท่านั้น จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้โน้ตอุดมยืนระยะมาได้ยาวนานขนาดนี้

—–

ปี 2008 สมจิต จงจอหอ เป็นวีรบุรษเหรียญทองโอลิมปิกในวัย 32 ปี ซึ่งเป็นวัยที่แก่ที่สุดที่จะต่อยมวยบนเวทีระดับนี้ได้

สมจิตให้สัมภาษณ์ว่าเขามีจุดเปลี่ยนในชีวิต 3 ครั้ง

สมจิตเคยเป็นนักมวยไทยที่เก่งมาก แต่มีไฟท์นึงที่โดนชกจนกรามหัก นักมวยส่วนใหญ่จะเลิก เพราะถ้าชกไปก็จะเป็นนักมวยคางเปราะโดนน็อคได้โดยง่าย

แต่สมจิตไม่เลิก เขาจึงต้องหาวิธีที่จะชกโดยไม่โดนต่อยกราม เลยต้องฝึกสายตาให้เฉียบคม หลบหมัดได้ว่องไว

จุดเปลี่ยนที่สองคือคือสมจิตชกแล้วไหล่หลุด ธรรมดาคนอื่นจะเลิก เพราะจากนี้ไปจะน็อคคนอื่นได้ยากแล้ว

แต่สมจิตไม่เลิก เปลี่ยนจากชกมวยไทยมาชกมวยสากล เปลี่ยนจากชกแบบ fighter ที่มุ่งน็อคคู่ต่อสู้มาชกแบบ boxer เพื่อประคองตัวและเก็บคะแนน

จุดเปลี่ยนที่สามคือตอนอายุ 28 ได้ไปโอลิมปิค นี่คือช่วงพีคสุดของอาชีพนักมวย สมจิตมั่นใจ สื่อต่างๆ ก็มั่นใจว่าสมจิตน่าจะได้เหรียญกลับมา แต่ปรากฏว่าเขาแพ้ตั้งแต่รอบกลางๆ

สมจิตกลับมาเมืองไทยได้ไปออกทีวีนั่งแถวหลังเป็นตัวประกอบ (แถวหน้าคือคนได้เหรียญ) มีแต่คนบอกว่าแขวนนวมเถอะ เพราะกว่าจะถึงโอลิมปิกหน้าก็แก่เกินไปแล้ว

แต่สมจิตไม่เลิก ก่อนไปโอลิมปิกในปี 2008 ไม่มีใครมาสัมภาษณ์ ไม่มีใครคาดหวัง มีแต่คนดูถูก สมจิตจึงมีสมาธิในการซ้อมหนักโดยไม่มีอะไรกวนใจ

ด้วยสายตาที่ไว หมัดที่เร็ว และวิธีการชกแบบชาญฉลาดก็ทำให้สมจิตได้กลายเป็นวีรบุรุษเหรียญทองในที่สุด

พี่โจ้บอกว่า ปัญหามีสองแบบ คือปัญหาที่แก้ได้กับปัญหาที่แก้ไม่ได้

คนที่มี Fixed Mindset จะคุยแต่ปัญหาที่แก้ไม่ได้ ฝุ่นเยอะ ทำไมรัฐบาลเป็นแบบนี้ ไวรัสจีนมาอีกแล้ว

แต่คนที่มี Growth Mindset คือคนที่โฟกัสไปกับปัญหาที่แก้ได้ เหมือนพี่โน้ตที่ซ้อมแป้ก เหมือนสมจิตที่เอาความล้มเหลวทั้งสามมาสร้างทางเลือกใหม่

ภาพจาก Shutterstock

ยิ่งวิกฤติ ยิ่งมีโอกาส

ที่พี่โจ้รุ่งขึ้นมาได้เพราะ DTAC มีวิกฤติ ผู้บริหารโดนปลด พี่โจ้ซึ่งตอนนั้นยังเด็กอยู่เลยมีโอกาสได้ทำงานใหญ่

พี่โจ้เล่าให้ฟังเรื่องคุณอนันต์ อัศวโภคิน เจ้าของ Land & House และ Terminal 21

ก่อนจะเปิด Terminal 21 ทางห้างพยายามเชิญแบรนด์ใหญ่ๆ อย่าง Zara, H&M มาเปิดร้าน แต่ไม่มีใครยอมมา เพราะห้างอื่นๆ โดยรอบมีสาขาของแบรนด์เหล่านี้อยู่ก่อนแล้ว ไม่อยากเปิดเพิ่มมาแย่งลูกค้ากัน

คุณอนันต์เลยนั่งรถไฟฟ้าตระเวนดูห้างต่างๆ และพบว่าห้างที่ปล่อยเช่าได้ราคาดีที่สุดคือมาบุญครอง จับตลาด C+ และนักท่องเที่ยวชาวจีน

เมื่อไม่ได้มีแบรนด์ดังๆ ก็เลยต้องหาตัวดึงดูดอื่นๆ จึงตัดสินใจสร้างศูนย์อาหาร ตั้งราคาจานละ 50 บาท แล้วก็ถามลูกน้องที่เงินเดือนไม่ถึงสองหมื่น (ตลาด C+) ว่าถ้าราคานี้จะมากินบ่อยแค่ไหน

น้องๆ ตอบว่าคงกินได้แค่เดือนละครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น ถ้าจะให้มากินทุกวันขอไม่เกินจานละ 30 บาท

คุณอนันต์สั่งให้คนที่ดูแลศูนย์อาหารไปทำ business plan มาใหม่เพื่อให้ข้าวหนึ่งจานราคาถูกกว่านี้ แต่ทำมากี่ครั้งราคาก็ยังลงมาไม่ถึง 30 บาทซักที คุณอนันต์เลยยื่นคำขาดว่า

ถ้าคุณทำศูนย์อาหารนี้ให้ขาดทุนไม่ได้ คุณไม่ได้โบนัส

ปรากฎว่าได้อาหารราคา 30 บาทสมหวัง และ Terminal 21 ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นห้างที่อาหารอร่อยและราคาย่อมเยา ลูกค้าหนาแน่นจนเป็นตัวดึง traffic ให้ห้างนี้คึกคักตลอด

ศูนย์อาหารของ T21 ขาดทุนทุกเดือน ต้อง subsidize เดือนละ 1 ล้านบาทหรือปีละ 12 ล้านบาท

แต่ 12 ล้านบาทซื้อบิลบอร์ดครั้งเดียวก็หมดแล้ว ถ้ามองว่ามันคือค่า Marketing ก็ต้องเรียกว่าคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม

—-

ยิ่งหัวว่าง ยิ่งสร้างสรรค์

(พ้องกับชื่อหนังสือเมื่อหัวว่าง จึงสร้างสรรค์ของคุณต้อง กวีวุฒิ เต็มภูวภัทรที่มาขอให้พี่โจ้ช่วยตั้งชื่อหนังสือให้)

พี่โจ้บอกว่า ไอเดียดีๆ จะไม่เกิดในห้องประชุม ต้องไม่คิดถึงจะคิดได้ มันคือ zen-like creativity

ไอน์สไตน์คิดออกตอนสีไวโอลิน

นิวตันคิดออกตอนแอปเปิ้ลตกใส่หัว

พี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ co-founder ของ Workpoint มักได้ไอเดียดีๆ ที่ร้านสุกี้ระหว่างคุยไปกินไป

แล้วพี่โจ้ก็แชร์เรื่อง QR Code แม่มณี

เรารู้ว่าเมืองจีนใช้ QR Code กันจนแทบไม่ใช้เงินสดกันแล้ว ขนาดขอทานยังรับเงินเป็น QR Code เมืองไทยก็น่าจะมุ่งไปในทิศทางนี้

ตอนแรก SCB ไปขอให้แม่ค้าวาง QR Code ตรงเคาท์เตอร์ หลายธนาคารก็ขอเอาไปวางด้วย สุดท้ายแม่ค้าก็เก็บเข้าลิ้นชัก ไม่ได้ใช้งาน

ทีมงาน SCB ไม่เข้าใจ เลยไปลองใช้ชีวิตแบบแม่ค้าดู ลงไปคลุกคลีว่าแต่ละวันเขาคิดอะไร เขาทำอะไรบ้าง

แล้วทีมงานก็ได้ค้นพบว่า

1. แม่ค้าคิดเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตลอด ลูกค้าที่มาคนแรกต้องขายให้ได้ ถ้าขายไม่ได้จะซวยไปทั้งวัน ถ้าขายได้ก็จะเอาเงินสดมาสะบัดใส่ของให้เป็นมงคล

2. นางกวักที่แม่ค้ามีมักไม่สวย

พี่โจ้และทีมงานจึงตัดสินใจว่า งั้นเราทำนางกวักพ่วงไปกับ QR Code เลยแล้วกัน

คนที่เป็นแบงค์เกอร์ก็สงสัยว่าพี่โจ้บ้ารึเปล่า แต่พี่โจ้คือผู้กำกับหนังมาร์เวล ไม่เคยกำกับหนังเรื่องนี้ ไม่ได้คิดเหมือนคนที่ทำงานสายธนาคารมายาวนาน

ส่วนชื่อแม่มณีก็มีที่มา

ลูกสาวพี่โจ้ชื่อเมนิเพื่อนชอบล้อว่ามณีพี่โจ้อยากแก้ปมนี้ให้ลูกสาว เลยตั้งชื่อนางกวักว่าแม่มณี

ลูกน้องถามพี่โจ้ว่า ผู้ใหญ่จะโอเคเหรอถ้าเอาชื่อลูกมาตั้งเป็นชื่อผลิตภัณฑ์

พี่โจ้เลยให้บอกผู้ใหญ่ไปว่ามณีมาจากคำว่า “money” ไง ชื่อเป็นมงคล!

ตอนเอาแม่มณีไปให้ร้านค้า SCB จงใจไม่บอกว่าเป็นนางกวัก แต่ร้านค้าเห็นแล้วก็นำไปตั้งคู่กับนางกวักที่มีอยู่แล้วอยู่ดี

แล้วก็เริ่มมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าวางแม่มณีแล้วขายดี พี่โจ้สันนิษฐานว่าอาจเพราะพอมีแม่มณีวางอยู่บนเคาท์เตอร์แล้วมันทำให้เกิดบทสนทนา ก็เลยเกิดการซื้อขายได้ง่ายขึ้นนั่นเอง

แถมแม่มณีก็มีหลายปางด้วย เพราะฝ่าย procurement ใช้โรงงานหลายเจ้า ผลิตแม่มณีออกมาหน้าตาไม่เหมือนกัน เลยกลายเป็นว่ามีบางร้านพยายามเก็บสะสมแม่มณีให้ครบทุกเวอร์ชัน มีโพสต์ลงโซเชียลอวดกัน มีแอบซื้อขายกันบนเว็บ

นานวันเข้า แม่มณีจึงมีสถานะเข้าใกล้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นทุกที เจ้าของร้านไหว้นางกวักเสร็จแล้ว เห็นแม่มณีตั้งอยู่ข้างๆ ก็ขอไหว้แม่มณีด้วยเลยแล้วกัน บางร้านมีถวายไก่ต้มและน้ำแดงให้แม่มณีอีกด้วย

เมื่อมาถึงจุดๆ นี้ แม่ค้าก็ไม่กล้าเก็บ QR Code ของ SCB เข้าลิ้นชักอีกต่อไป

ส่วนน้องเมนิลูกสาวพี่โจ้ก็ภูมิใจกับชื่อแม่มณีมาก แฮปปี้กันทุกฝ่าย

ภาพจาก Shutterstock

ยิ่งเข้าใจเขา เรายิ่งได้

Creativity ไม่ได้อยู่ที่ technology แต่อยู่ที่ pain

เราเข้าใจ pain ได้ดีแค่ไหนเราก็ยิ่งสร้างสรรค์สิ่งที่จะมาลดความเจ็บปวดเหล่านี้ได้ดีขึ้นเท่านั้น

ถ้าใครเคยไปโรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศซึ่งสร้างโดย Workpoint อาจจะสังเกตว่าห้องน้ำผู้หญิงจะใหญ่กว่าห้องน้ำผู้ชาย

เพราะพี่ประภาสเล็งเห็นว่าโรงละครส่วนใหญ่มักมีห้องน้ำชายกับหญิงเท่ากัน แต่เวลาผู้ชายเข้าห้องน้ำ “transaction” จะสั้นกว่าผู้หญิงมาก คิวของผู้หญิงจึงมักจะยาวเหยียดกว่าคิวห้องน้ำชายเสมอ

ดังนั้นโรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศจึงถูกออกแบบให้มีห้องน้ำหญิงมากพอที่ถ้าผู้ชายกับผู้หญิงจำนวนเท่ากันก็จะใช้เวลาในการเข้าห้องน้ำพอๆ กัน

อีกหนึ่งเรื่องคือเครื่องแสกน MRI ที่เข้าถึงหัวใจเด็ก ที่เปลี่ยนประสบการณ์การเข้าไปนอนนิ่งๆ ในเครื่อง MRI อันโดดเดี่ยวและน่ากลัวให้กลายเป็นการผจญภัยอันแสนสนุกจนเด็กอยากมาสแกนอีกหลายๆ รอบ

ผมเคยเขียนเรื่องนี้โดยละเอียดลงในคอลัมน์มุมละไมของ All Magazine อ่านได้ที่นี่ครับ

อีกหนึ่งเรื่องที่ผมชอบมาก คือเรื่องของหมอคนหนึ่งที่เปิดคลีนิกตรวจมะเร็งปากมดลูกที่จังหวัดกำแพงเพชร

ปรากฎว่าไม่มีคนไข้ยอมมาตรวจเลย

ก็แน่ล่ะ ใครจะอยากนอนถ่างขาให้คนแปลกหน้าดู

อาจเป็นเพราะช่วงนั้นรายการ The Mask Singer กำลังดัง หมอก็เลยปิ๊งไอเดียว่าให้ทุกคนใส่หน้ากากดีกว่า ทั้งคนไข้ เจ้าหน้าที่ รวมถึงหมอด้วย

เมื่อใส่หน้ากาก ก็ไม่รู้จักฉันไม่รู้จักเธอ ตรวจเสร็จก็แยกย้าย หัวกระไดคลีนิกจึงไม่แห้งตั้งแต่นั้น

—-

ยิ่งให้ ยิ่งได้

โลกนี้มีคนอยู่สามประเภท คือ Giver Taker และ Transact

Giver คือพี่นี้มีแต่ให้

Taker คือคนที่คิดเอาแต่ได้

ส่วน Transact คือพวกหมูไปไก่มา

โลกนี้เป็นกราฟระฆังคว่ำ พวกล้มเหลวสุดๆ อยู่ฝั่งซ้าย กับพวกสำเร็จสุดๆ อยู่ฝั่งขวา

ที่น่าสนใจคือ Giver จะอยู่ตรงปลายของทั้งสองฝั่ง ถ้าไม่ล้มเหลวสุดๆ ก็สำเร็จสุดๆ ไปเลย

เพราะถ้า Giver หลงไปอยู่ในดง Taker ก็จะล้มเหลว

แต่ถ้า Giver อยู่กับ Giver ด้วยกันก็จะรุ่งโรจน์

ที่ดินของตึก Terminal 21 ตรงแยกอโศกนั้น คุณอนันต์ อัศวโภคินซื้อมาในราคา 500 ล้านบาท ทั้งที่จริงแล้วมูลค่าหลายพันล้าน

เหตุผลเพราะว่าคุณอนันต์เคยปลูกต้นไม้เล็กๆ เอาไว้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว

ตอนนั้นคุณอนันต์ซื้อที่แถวสีลมจากเศรษฐีคนหนึ่งเพื่อสร้างตึก โดยคาดว่าจะสร้างตึกได้สูงประมาณ 4:1 ตกลงราคาจ่ายเงินเรียบร้อย

แต่พอออกแบบและสร้างจริง ปรากฎว่าตึกมันสร้างได้สูงถึง 6:1 คุณอนันต์เลยเอาเงินไปจ่ายให้เศรษฐีคนนั้นเพิ่ม

ผ่านไป 20 ปี พอเศรษฐีคิดจะขายที่ดินตรงแยกอโศก แทนที่จะเปิดประมูลเพื่อให้ได้ราคาที่ดีที่สุด เขาถามคุณอนันต์ก่อนเลยว่าสนใจมั้ย คุณอนันต์จึงซื้อที่ตรงนี้ได้โดยไม่ต้องประมูลแข่งกับใครเลย

ต้นไม้ที่ปลูกเอาไว้ แม้ใช้เวลายาวนานแต่ก็จะสร้างร่มเงาให้แน่นอน

ขอบคุณภาพจาก FB ประภาศ ชลศรานนท์

ยิ่งพอ ยิ่งสุข

พี่โจ้เคยถามพี่ประภาสว่า

เป้าหมายในชีวิตพี่จิกคืออะไร

คำตอบของพี่ประภาสคือ

เป้าหมายในชีวิตพี่คือการลดเป้าหมาย เราจะได้เจอมันง่ายขึ้น

—–

ยิ่งออกกำลัง ยิ่งได้กลับ
ยิ่งไม่รู้ ยิ่งรู้
ยิ่งไม่รู้ ยิ่งไม่กลัว
ยิ่งไม่มีประสบการณ์ ยิ่งแตกต่าง
ยิ่งไม่มี ยิ่งสร้างสรรค์
ยิ่งล้มเหลว ยิ่งสำเร็จ
ยิ่งวิกฤติ ยิ่งมีโอกาส
ยิ่งหัวว่าง ยิ่งสร้างสรรค์
ยิ่งเข้าใจเขา เรายิ่งได้
ยิ่งให้ ยิ่งได้
ยิ่งพอ ยิ่งสุข

เหล่านี้คือความลับของฟ้า

—–

Mindset In the Brave New world

ความสำเร็จมาจากการตัดสินใจที่ถูก
การตัดสินใจที่ถูกมาจากประสบการณ์
ประสบการณ์มาจากการตัดสินใจที่ผิด
การตัดสินใจที่ผิดมาจากความกล้า
ประภาส ชลศรานนท์

โลกสมัยก่อน สองบรรทัดเดิมมันใช้ได้

แต่สองบรรทัดหลัง น้องๆ มีโอกาส เพราะทุกคนเท่ากันหมดในยุคสมัยนี้

ผมขอปิดท้ายด้วย 3 ประโยคทองของพี่โจ้

ถ้าเบอร์ 1 คิดแบบ underdog ได้ จะไร้เทียมทาน

น้องๆ ควรจะมีความฝันระดับโอลิมปิก อย่าฝันแค่ซีเกมส์ เพราะเราจะได้ซ้อมไปโอลิมปิก แล้วเราจะเก่งกว่าซีเกมส์

ยิ่งอยากเปลี่ยนคนอื่นยิ่งไม่เวิร์ค ยิ่งอยากเปลี่ยนคนอื่นยิ่งต้องเปลี่ยนตัวเอง แล้วเราจะมีเครดิตพอให้เปลี่ยนคนอื่นได้

ที่ผมเล่ามาเป็นเพียง 50% จากสิ่งที่ได้รับจากพี่โจ้ในวันนั้น เป็น WeShare หนึ่งชั่วโมงครึ่งที่อัดแน่นไปด้วยสาระและบันเทิง

ผมหวังว่าความลับของฟ้าครั้งนี้จะเป็นเพียงภาคแรก เพราะทาง Wongnai คงจะขอเชิญพี่โจ้มาแบ่งปันประสบการณ์อีกครั้งในอนาคตอันใกล้

—–

Source: ANONTAWONG’S MUSINGS

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา