สิงห์ เอสเตท ปั้นแบรนด์ SAii รีสอร์ทหรูหราราคากันเองในมัลดีฟส์ เจาะกลุ่มมิลเลนเนียลและครอบครัว

มัลดีฟส์ เป็นหาดสวรรค์ และเป็นเดสติเนชั่นสำหรับนักท่องเที่ยวที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้มีโอกาสไปเยือนสักครั้ง จึงไม่แปลกหาก สิงห์ เอสเตท จะปักหมุดธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทระดับ 4 หรือ 5 ดาว แบรนด์ “SAii”

มัลดีฟส์ เป็นหาดสวรรค์

เดร์ค เดอ คุยเปอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอสโฮเทลแอนด์รีสอร์ท เล่าว่า การลงทุนสร้างโรงแรมและรีสอร์ท “SAii” แบรนด์สัญชาติไทยโดยภาษาไทยอ่่านว่า ทราย เป็นการพลิกมิติด้านโรงแรมและธุรกิจแบบเดิมๆ ในมัลดีฟส์

การวางโพซิชั่นนิ่งของ SAii รีสอร์ทแนวคิดไลฟ์สไตล์แบบใหม่ ขายกลิ่นอายหรูหราแต่คงมีบรรยากาศเป็นกันเอง และราคาที่จับต้องได้ง่าย 10,570-24,160 บาท แต่แบรนด์ระดับอัปเปอร์ อัพสเกล (Affordable brand) ช่วยให้นักท่องเที่ยวก้าวข้ามผ่านราคาห้องพักลง

ทราย ลากูน มัลดีฟส์ (SAii Lagoon Maldives) ตั้งอยู่ภายในครอสโร้ด มัลดีฟส์ โครงการท่องเที่ยวไลฟ์สไตล์ครบวงจรใจกลางมหาสมุทรอินเดีย พัฒนาโดยสิงห์เอสเตท และเอสโฮเทลแอนด์รีสอร์ท (S hotels & Resorts) โดยมี ฮิลตัน (Hilton Global) มืออาชีพมาบริหารโรงแรม

 5 เหตุผลการปักหมุดมัลดีฟส์

  1. ช่องว่างทางธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท ส่วนใหญ่เจาะกลุ่มครอบครัว ความแตกต่างของ SAii เจาะกลุ่มมิลเลนเนียลและกลุ่มครอบครัว
  2. ราคา ส่วนใหญ่แล้วราคาที่พักทั้งโรงแรมและรีสอร์ทจะมีราคาค่อนข้างสูงมาก การวางตำแหน่ง SAii เป็น โรงแรมระดับ 4-5 ดาว ราคาที่เอื้อมถึงจะทำให้เข้าถึงนักท่องเที่ยวได้ง่ายขึ้น
  3. มัลดีฟส์เป็นเดสติเนชั่นของนักท่องเที่ยวทุกคน การสร้างแบรนด์ SAii ให้เป็นที่รู้จักและรับรู้นักท่องเที่ยวทั่วโลก ทำให้ง่ายต่อการขยายสาขาไปประเทศอื่นๆ และปั้นเป็นแบรนด์ระดับโลกต่อไปในอนาคต
  4. ธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทในมัลดีฟส์ ยังคงเติบโตต่อเนื่องและยังไม่เกิดโอเวอร์ซัพพลาย
  5. สานวิชั่นการขยายธุรกิจของกลุ่มสิงห์ เอสเตท ปี 2568 เปิดครบ 80 แห่ง
ห้องพักแบบห้องสวีทและวิลล่าจำนวนกว่า 198 ห้อง

จุดเด่นของ SAii  ที่ต้องมาพัก

วิสัยทัศน์ของเรา: เป็นบริษัทผู้นำด้านการลงทุนโรงแรมและการบริหารงานรีสอร์ทที่กำหนดมาตรฐานใหม่ให้กับการพักผ่อนและการใช้ชีวิตที่มีคุณภาพ บนปรัชญาการพัฒนาที่ยั่งยืนและสร้างประโยชน์ที่แท้จริงให้แก่ชุมชนท้องถิ่น

ความโดดเด่น ห้องพักแบบห้องสวีทและวิลล่า รวมถึงห้องเหนือน้ำและพูลวิลล่า จำนวนกว่า 198 ห้อง  สามารถเปิดแอพพลิเคชั่น สำหรับการจองห้องพัก สปา หรือกระทั่งการเลือกกลิ่นอโรม่าของพรีเมี่ยมที่ทางโรงแรมบริการให้ฟรี

บริการสแน็กบ็อกซ์ สามารถเลือกสรรค์ได้ตามใจชอบ สำหรับห้องพักมีทั้งบริการห้องพักสวีทและวิลล่า ออกแบบตกแต่งด้วยการผสมผสานพื้นผิวธรรมชาติและเศษไม้

พรั่งพร้อมด้วยบริการร้านอาหารนานาหลากหลาย ร้านอาหารมิสเตอร์ต้มยำ (Mr Tomyam) และเล่นบีเวล (Lèn – Be Well) ด้วยนวัตกรรมที่ทันสมัยและกิจกรรมเพื่อสุขภาพ หรือกระทั่งศูนย์การเรียนรู้สัตว์น้ำ เป็นแม่เหล็กมัดใจกลุ่มครอบครัวว่ามาที่เดียวจบ 

รวมถึงการสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับบริษัทที่มีประสบความสำเร็จระดับโลก เช่น ฮิลตัน (Hilton Global), คาเฟ่ เดล มาร์ (Café del Mar) และ ฮาร์ดร็อค อินเตอร์เนชั่นแนล (Hard Rock International)

พฤติกรรมของผู้บริโภคกลุ่มมิลเลนเนียล ไม่ใช่แค่มองหาความหรูหราจากการดีไซน์หรือจากผลิตภัณฑ์แล้ว แต่มาจากความรู้สึกอิสระและเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวสภาพแวดล้อมและผู้คนอื่นๆ 

ขยายธุรกิจจับเทรนด์มิลเลนเนียล

คุยเปอร์ เล่าว่า แนวคิดพฤติกรรมของผู้บริโภคกลุ่มมิลเลนเนียลดังกล่าวนี้ จะมีบทบาทสำคัญในการขยายตัวของ S Hotels & Resorts ในอนาคต โดยเราวางเป้าหมายที่จะเพิ่มพอร์ตการลงทุนเป็น 2 เท่าภายใน 2568 ปัจจุบันบริษัทของเราประกอบด้วย โรงแรมและรีสอร์ท 39 แห่งใน 5 ประเทศ รวมกว่า 4,600 ห้อง

ลงทุนธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท 3 แบบ

  1. แบรนด์ของบริษัทเอง (Own Brands) เช่น สันติบุรี, SAii
  2. แบรนด์จัดตั้งใหม่ร่วมกับพาร์ทเนอร์ (White Label Brands) เช่น Curio Collection by Hilton
  3. แบรนด์แฟรนไชส์ (Franchise Brands) เช่น เมอร์เคียว, ฮอลิเดย์ อินน์ ทั้งหมดอยู่ในระดับพรีเมียม

เส้นทาง S hotels & Resorts

บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (SHR) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.. 2557 ในฐานะบริษัทย่อยของ บริษัท สิงห์เอสเตท จำกัด (มหาชน) โดยจัดตั้งขึ้นเพื่อรวมธุรกิจโรงแรมของกลุ่ม ซึ่งในเวลานั้นมีอยู่ 2 รีสอร์ทในประเทศไทย ได้แก่ สันติบุรี เกาะสมุย (Santiburi Koh Samui) และ พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ บีช รีสอร์ท (Phi Phi Island Village Beach Resort)

ในปีต่อมา เราได้ซื้อกิจการโรงแรมจูปิเตอร์ (Jupiter Hotels) (สหราชอาณาจักร) ซึ่งทำให้มีโรงแรมในเครือกลุ่มบริษัท SHR เพิ่มขึ้นอีก 29 โรงแรม รวมเป็น 31 แห่ง ด้วยจำนวนห้อง 3,393 ห้องในปี พ.. 2559

จากนั้นในปี พ.. 2561 เราได้เปิดตัวเดอะรีเซิร์ฟ” (The Reserve) วิลล่าคอลเล็กชั่นใหม่ 19 หลังที่สันติบุรี เกาะสมุย และในปีเดียวกันก็ได้ซื้อกิจการโรงแรมเอาท์ริกเกอร์ (Outrigger Hotels) จำนวน 6 แห่งใน ฟิจิ, ภูเก็ต,​ เกาะสมุย, มอริเชียส และมัลดีฟส์

สรุป

การสร้างแบรนด์ SAii ในมัลดีฟส์ โดยใช้กลยุทธ์ราคาที่จับต้องได้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับนักท่องเที่ยว มีโอกาสทำให้แบรนด์แจ้งเกิดได้ง่ายกว่า และเป็นแบรนด์ทางเลือกสำหรับนักท่องเที่ยวหลากหลายชาติทั้งยุโรป เอเชีย  โดยเอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท คาดว่าอัตราการเข้าพักของนักท่องเที่ยวโดยเฉลี่ยกว่า 70% ในช่วง 5 ปี ขณะที่แม่เหล็กการดึงดูดคนเข้าพัก คือ การรวบรวมกิจกรรมต่างๆ ไว้อย่างครบเครื่อง เพื่อเป็นแม่เหล็กสำหรับนักท่องเที่ยวให้มาเยือน

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา