สิงคโปร์ ขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งในเอเชียที่ดึงดูดความสามารถและการพัฒนาในยุคดิจิทัล

เป็นอีกข่าวที่น่าสนใจ ดัชนีชี้วัดของสถาบันการศึกษาด้านธุรกิจในฝรั่งเศส ระบุว่า สิงคโปร์เป็นประเทศที่ดีที่สุดในเอเชียสำหรับการดึงดูดทั้งความสามารถและการพัฒนาในยุคดิจิทัล แซงหน้าประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่กว่าในภูมิภาคนี้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น จีน หรืออินเดีย ส่วนไทยอยู่อันดับที่ 73

Photo: Pixabay

สิงคโปร์ ประเทศเล็ก ที่อนาคตกว้างใหญ่ไพศาล

ดัชนีชี้วัดความสามารถในการแข่งขันระดับโลก (Global Talent Competitiveness Index) ที่ตีพิมพ์โดย INSEAD สถาบันการศึกษาด้านธุรกิจในฝรั่งเศส เปิดเผยว่า สิงคโปร์ได้ครองตำแหน่งประเทศที่ดีที่สุดของเอเชียในด้านการดึงดูดความสามารถและการพัฒนาท่ามกลางยุคดิจิทัล แต่ถ้าวัดในระดับโลกแล้ว สิงคโปร์อยู่ในลำดับที่ 2 รองมาจากสวิตเซอร์แลนด์

ดัชนีที่ใช้ประเมินความสามารถของประเทศในการแข่งขันระดับโลกนี้ ดูจากการเติบโตและการพัฒนาความสามารถความรู้และเทคนิคเฉพาะด้านในด้านวิชาชีพ โดยประเทศที่ประสบความสำเร็จมีจุดร่วมกันอยู่ 3 อย่างคือ นโยบายการจ้างงานที่มีความยืดหยุ่นสูง ระบบการศึกษาที่ดี และความสามารถด้านเทคโนโลยี

แน่นอนว่า สิงคโปร์เป็นประเทศที่พยายามทำให้ตัวเองเป็นศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ ด้วยการสนับสนุนธุรกิจ SME ในประเทศให้ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ รวมถึงสนับสนุนแรงงานให้มีทักษะที่สูงขึ้นอยู่เสมอ

สิงคโปร์เป็นเบอร์ 2 ในภูมิภาคเอเชีย ส่วนไทยอยู่ที่ 73 ในปีนี้

Su-Yen Wong ซีอีโอของสถาบัน Human Capital Leadership บอกว่า “เทคโนโลยีดิจิทัลจะช่วยให้ประเทศเล็กๆ อย่างสิงคโปร์สามารถก้าวเข้าสู่ตลาดระดับโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

ถ้าไปดูประเทศในภูมิภาคเอเชียที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าสิงคโปร์หลายเท่า แต่กลับมีอันดับจากการวัดดัชนีประเมินความสามารถของประเทศในการแข่งขันในระดับโลกต่ำกว่าสิงคโปร์ทั้งหมด ได้แก่ ญี่ปุ่นที่ตกลงมาอยู่อันดับที่ 22 จีนอยู่อันดับที่ 54 และอินเดียที่ 92

ส่วนมาเลเซีย ประเทศเพื่อนบ้านอยู่ในอันดับที่ 28 แต่ความน่าสนใจคือ มาเลเซียเป็นประเทศรายได้ปานกลางระดับสูง (upper middle-income) ที่สามารถเอาชนะประเทศร่ำรวยได้อย่างเช่น เกาหลีใต้ สเปน และอิตาลี สรุปตามผลการศึกษานี้จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่มีคะแนนสูง ก็เพราะว่ามีทักษะด้านวิชาชีพและการเปิดรับความสามารถจากต่างประเทเศข้ามาอยู่เสมอนั่นเอง

ที่มา – Bloomberg

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา