Shell เป็นบริษัทขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอีกบริษัทที่มีกำไรทะลุเพดานหลังจากราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นเพราะสงครามยูเครน-รัสเซียเป็นเหตุ
Shell รายงานผลประกอบการประจำปี 2022 โดยมีกำไรสูงถึง 3.99 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 1.3 ล้านล้านบาท มากเป็น 2 เท่าของปี 2021 และมากที่สุดในรอบ 115 ปีนับตั้งแต่การก่อตั้งบริษัทมา
ราคาน้ำมันดิบทะยานขึ้นในเดือนมีนาคมปีที่แล้วจากการที่รัสเซียบุกยูเครนจนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (Brent Crude Oil) ขึ้นมาเกือบถึง 128 ดอลลาร์หรือราว 4,200 บาทต่อบาร์เรล ก่อนจะลดลงมาที่ 83 ดอลลาร์หรือราว 2,700 บาทต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาก๊าซก็ทะยานขึ้นก่อนปรับลดลงมาเช่นกัน
ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นและผลกำไรมหาศาลทำให้ Shell ต้องจ่ายภาษีมากขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายในครัวเรือนและธุรกิจเพิ่มสูงขึ้น เพราะเมื่อปี 2022 สหราชอาณาจักรได้ออกภาษีลาภลอย (Windfall Tax) ที่เรียกว่า Energy Profits Levy ที่เก็บภาษีกับบริษัทที่มีกำไร “สูงเกินปกติ” (Extraordinary) เพื่อนำไปสนับสนุนแผนลดค่าก๊าซและค่าไฟฟ้าในครัวเรือน
Shell รายงานว่าได้ชำระภาษีให้รัฐบาลไปเป็นมูลค่า 134 ล้านดอลลาร์หรือราว 4.4 พันล้านบาทในปี 2022 และคาดว่าจะต้องจ่ายภาษีกว่า 500 ล้านดอลลาร์หรือราว 1.6 แสนล้านบาทในปี 2023 นี้ แม้จะดูเหมือนเป็นตัวเลขที่ไม่มากเมื่อเทียบกับผลกำไร แต่ Shell จะได้รับเงินเพียง 5% จากรายได้ทั้งหมดเท่านั้น เพราะจะต้องถูกหักภาษีในส่วนอื่นอีก
ภาษีลาภลอยบังคับใช้กับผลกำไรเฉพาะของบริษัทที่ขุดเจาะน้ำมันและก๊าซในสหราชอาณาจักรเท่านั้น โดยมีอัตราภาษีอยู่ที่ 25% ก่อนที่จะปรับขึ้นมาอยู่ที่ 35% ในขณะนี้ บริษัทน้ำมันยังต้องจ่ายภาษีบริษัทอีก 30% และภาษีเพิ่มเติมที่อัตรา 10% ของผลกำไร ทำให้รวมแล้วต้องจ่ายภาษีรวม 75% จากผลกำไร
ทั้งนี้ ภาษีสามารถลดหย่อนภาษีได้ด้วยการคำนวณค่าใช้จ่ายในการทำกิจการ เช่น การรื้อถอนแท่นขุดเจาะน้ำมัน ทำให้มีการตั้งคำถามว่า Shell เสียภาษีน้อยไปหรือไม่จากการได้ลดหย่อนและรัฐบาลปรับใช้ภาษีน้อยเกินไปหรือไม่เพราะไม่ควรที่บริษัทจะได้ทำกำไรมหาศาลโดยใช้ประโยชน์จากสงคราม
ปัจจุบัน รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้กำหนดเพดานราคาน้ำมันและก๊าซในครัวเรือนอยู่ที่ 100,000 แสนบาทต่อปีซึ่งก็ยังถือว่าแพงขึ้นกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงก่อนที่จะเกิดสงครามยูเครน-รัสเซีย และจะปรับขึ้นเป็นราว 120,000 บาทต่อปี
Shell ไม่ใช่บริษัทขุดเจาะน้ำมันแห่งเดียวที่มีกำไรมหาศาล เพราะบริษัทต่าง ๆ ต่างทำเม็ดเงินเป็นกอบเป็นกำหลังจากเกิดสงครามจนราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น
ที่มา – BBC
อ่านเพิ่มเติม
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา