ปีหน้านักวิเคราะห์มองว่าเศรษฐกิจไทยจะไม่ดีเท่าปีนี้ ไหนตลาดหุ้นจะผันผวนเพราะปัจจัยต่างประเทศ โบรกเกอร์ต่างๆ เลยหันมาแนะนำการลงทุนระยะยาว ผ่านการลงทุนบริษัทที่มีความสามารถในการทำธุรกิจต่อเนื่อง มีกำไร ว่าง่ายๆ คือ หุ้นพื้นฐานดี
แต่จะมีอะไรบ้าง?
หุ้นพื้นฐานดีคืออะไร ต้องดูยังไงบ้าง?
Brandinside รวมข้อมูลจาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) บอกว่า หุ้นพื้นฐานดีคือหุ้นที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงตามสภาวะตลาด เช่น ภาวะเศรษฐกิจ หรือความผันผวนในตลาดหุ้นระยะสั้น ขณะเดียวกันหุ้นพื้นฐานดีเป็นหัวใจในการออมเงินระยะยาว ดังนั้นการจะเลือกหุ้นต้องดูการดำเนินงานในอดีตย้อนหลัง 3–5 ปี (เปิดได้ที่ SET) มีวิธีการคัดเลือก 7 ข้อหลักๆ ได้แก่
1. เลือกบริษัทที่ได้เปรียบกว่าคู่แข่งในตลาด
หุ้นที่เลือกต้องมีจุดแข็ง มีความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดได้ดี เลือกบริษัทเด่นๆ ในอุตสาหรรมที่มีคู่แข่งน้อย หรืออุตสาหกรรมที่มีคู่แข่งใหม่ๆ เกิดได้ยาก การเลือกหุ้นพื้นฐานดีไม่ได้แปลว่าต้องเลือก บริษัทอันดับ 1 หรืออันดับ 2 ในตลาด แต่หุ้นที่เราเลือกต้องทำธุรกิจสู้เจ้าอื่นในตลาดได้
2.กิจการเติบโตต่อเนื่อง
บริษัทที่ดีควรมียอดขายหรือรายได้เติบโตต่อเนื่อง 3-5 ปี อย่างน้อยทำให้เห็นภาพรวมว่าบริษัทนี้ยังจะเติบโตต่อไปได้ ที่สำคัญยังแสดงถึงวิสัยทัศน์ในการดำเนินกิจการในอนาคต นอกจากนี้ต้องมองหาธุรกิจที่ยังไม่ถึงจุดอิ่มตัว
3. มีกำไรอย่างสม่ำเสมอ ไม่มีปัญหาขาดทุน
ทำธุรกิจต้องมีกำไรสม่ำเสมอ ทั้งกำไรขั้นต้น กำไรสุทธิ และกำไรสะสม เพราะกำไรเพิ่มเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นก็เพิ่มขึ้น และแสดงว่าบริษัทบริหารต้นทุนการผลิต บริหารธุรกิจได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีกำไรเพื่อพัฒนา ขยายกิจการให้โตขึ้นด้วย
ควรหลีกเลี่ยงหุ้นที่ขาดทุนต่อเนื่อง ขาดทุนปีเว้นปี เพราะราคาหุ้นอาจปรับตัวขึ้นได้ยาก แต่ต้องดูว่าการขาดทุนเกิดขึ้นจากอะไร เช่น กรณีขาดทุนเพราะบริษัทนำเงินไปลงทุนเพิ่มเติมอาจส่งผลดีต่อการเติบโตของบริษัทในระยะยาว ต้องศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ
4. หนี้สินไม่เยอะ
ระวังบริษัทที่มีหนี้ระยะยาวมากเกินไป โดยต้องดู “อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน” (D/E Ratio) ถ้าหนี้สินเยอะก็มีความเสี่ยงเมื่อดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นบริษัทก็มีต้นทุนเพิ่มขึ้น ถ้าวันไหนขาดสภาพคล่องจ่ายหนี้ไม่ได้ก็เกิดปัญหาต่อเนื่อง
5. ควบคุมต้นทุนการดำเนินงานได้ดี
ต้นทุนธุรกิจส่งผลกับกำไรโดยตรง ดังนั้นนักลงทุนต้องศึกษางบกำไรขาดทุนให้ดี ทั้งตัวเลขต้นทุนสินค้า ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ยอดขาย รวมถึงกำไรสุทธิ
6. สภาพคล่องต้องดี
บริษัทที่ดีต้องมีเงินทุนหมุนเวียนในมือ คือ มีสินทรัพย์หมุนเวียนมากกว่าหนี้สินหมุนเวียน เพื่อเตรียมพร้อมในการจ่ายหนี้ระยะสั้น และการทำธุรกิจ เช่น การเก็บเงินลูกหนี้ให้ได้ในเวลาที่กำหนดไว้
7. ผู้บริหารต้องโปร่งใส และมีธรรมาภิบาล
ผู้บริหารเป็นเหมือนตัวแทนในการทำธุรกิจ ถ้าบริหารอย่างซื้อตรง เปิดเผย ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่ปั่นหุ้นเพื่อเก็งกำไร
SET เปิดรายชื่อ 32 หุ้นไทยพื้นฐานดีปันผลสูงปรี๊ด
ข้อมูลจาก SET บอกรายชื่อ 32 หุ้นไทยพื้นฐานดี ปันผลสูง ความสามารถในการทำกำไรดี ROE (อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น) และอัตรากำไรสุทธิสูงกว่า 10% ต่อเนื่อง 3 ปี (2559-2561) Brandinside ดึง Top 10 หุ้นพื้นฐานดีที่ SET แนะนำ ได้แก่
(32 รายชื่อหุ้นพื้นฐานดีอยู่ในดูรายละเอียดในตารางด้านล่าง)
- JAS – บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)
- PREB – บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน)
- MFC – บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด(มหาชน)
- INTUCH – บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)
- MCS – บริษัท เอ็ม.ซี.เอส.สตีล จำกัด (มหาชน)
- MBKET – บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
- KGI – บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
- ASP – บริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)
- GLOW – บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน)
- PATO – บริษัท พาโตเคมีอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน)
****แม้ว่า SET จะแนะนำหุ้นตัวไหน แต่นักลงทุนก็ต้องดูข่าว ศึกษาข้อมูลด้วยตัวเองให้ดีเพราะเวลาเสียหายจะขาดทุนเอง***
สรุป
ทางลัดในการมีหุ้นดีเข้าพอร์ทคงไม่มี ดังนั้นใครจะลงทุนหุ้นระยะยาวต้องอ่านงบดุลหุ้นตัวนั้นให้ละเอียด กำไร ขาดทุน และต้องมองอนาคตของธุรกิจมองตลาดให้ออกเหมือนลงไปทำธุรกิจเอง อย่างรายชื่อหุ้นที่ SET แนะนำมาแม้เงินปันผลจะดีแต่ก็ต้องศึกษาให้ละเอียด ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา