ปัจจุบันค่ายรถยนต์ทั้งจีน, ญี่ปุ่น, ยุโรป และสหรัฐอเมริกาต่างลงทุนวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับออกมา และเมื่อรถมันขับเคลื่อนได้เองผ่านการวิเคราะห์เรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน แล้วอย่างไรผู้บริโภคยังต้องซื้อประกันภัยรถยนต์หรือไม่
ปลอดภัย แบบไร้จิตวิญญาณ
การมาถึงของรถยนต์ไร้คนขับ หรือ Autonomous Vehicle ถือเป็นเรื่องที่ใกล้เข้ามาแล้ว เพราะค่ายรถยนต์ทุกบริษัทต่างลงทุนเรื่องนี้ ผ่านการนำมาโดย Tesla ของ Elon Musk ที่ไม่ได้วางตัวเป็นบริษัทรถยนต์ แต่เป็นบริษัทนวัตกรรมที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพรถยนต์ได้ตลอดเพียงแค่อัพเดท Firmware ดังนั้นเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนนคงทุกพัฒนาขึ้นตลอด และหากในวันข้างหน้าค่ายรถยนต์ต่างส่งรถไร้คนขับมาจำหน่ายอย่างแพร่หลาย โอกาสที่ความปลอดภัยแบบไร้จิตวิญญาณ ก็น่าจะเกิดขึ้นจริง และลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนลงไปได้เยอะ
ดังนั้นเมื่ออัตราการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนแทบจะเป็นศูนย์ เนื่องจากรถยนต์ทุกคนมีสมองกลช่วยขับ และตัดสินใจในการขับขี่ บริการประกันรถยนต์ก็คงต้องขายยากขึ้นแน่นอน ผ่านเหตุผลเรื่องความปลอดภัย และความเสี่ยงอุบัติเหตุแทบจะเป็นศูนย์ แต่ต้องเป็นกรณีที่รถยนต์บนท้องถนนทุกคันเป็นรถยนต์ไร้คนขับ นอกจากนี้อาจเห็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของบริษัทประกันภัยรถยนต์ออกมาก็ได้ เพื่อดิ้นรนในการทำธุรกิจให้อยู่รอด เช่นการประกันภัยแบบตามพื้นที่ โดยอ้างอิงพื้นที่ที่มีรถยนต์ไร้คนขับไม่หนาแน่น เพราะบริเวณนั้นอาจมีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุสูงกว่าปกติ
เคลมทีนึงค่าใช้จ่ายมหาศาล
ขณะเดียวกันด้วยเทคโนโลยีของรถยนต์ไร้คนขับนั้นมีต้นทุนแต่ละชิ้นส่วนที่ค่อนข้างสูง ดังนั้นหากบริษัทประกันจะลงมาสร้างผลิตภัณฑ์เพื่อรถกลุ่มนี้จริงๆ ก็คงต้องวางแผนมาเป็นอย่างดี เพราะถ้าเกิดมีปัญหา ต้นทุนในการซ่อมก็อาจไม่คุ้มค่ากับเบี้ยประกันที่ผู้บริโภคชำระมาให้ ยกเว้นว่าค่าต้นทุนชิ้นส่วน และเทคโนโลยี เช่นเซ็นเซอร์ และระบบสมองกลต่างๆ จะมีราคาถูกลง นอกจากนี้หากบริษัทประกันภัยตั้งเบี้ยประกันในราคาที่สูง โอกาสที่ผู้บริโภคจะลงทุนเรื่องนี้ก็คงต่ำ เพราะเมื่อคำนวนกับเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน กับต้นทุนที่สูงนั้นอาจไม่คุ้ม
ในทางกลับกัน ปัจจุบันที่ค่ายผู้ผลิตรถยนต์เริ่มผลิตรถยนต์ไร้คนขับแบบบางช่วงเวลาผ่านเทคโนโลยีต่างๆ เช่นระบบถอยจอดรถเอง, ระบบควบคุมความเร็วด้วยตัวเอง และระบบควบคุมการเปลี่ยนเลน ก็ต่างใช้เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับเซ็นเซอร์เช่นเดียวกัน ดังนั้นตอนนี้ผู้บริโภคคงต้องแบกรับเรื่องเงินทุนการประกันที่ค่อนข้างสูงไว้เองก่อน หากจะซื้อรถยนต์ที่มีระบบดังกล่าว เพราะบริษัทประกันก็ต้องการลดความเสี่ยง ด้วยการให้เบี้ยประกันที่สูง เพราะเวลาซ่อมรถยนต์กลุ่มนี้ หากชิ้นส่วนที่เกี่ยวกับเซ็นเซอร์ หรือสมองกลเสียไปก็มีราคาที่ค่อนข้างสูงกว่ารถยนต์รุ่นปกติ
ธุรกิจประกันน่าจะไม่หายไป
อย่างไรก็ตามหากประกันภัยรถยนต์นั้นไม่ได้รับความนิยม เพราะเรื่องความปลอดภัยของการขับขี่ แต่เมื่อุบัติเหตุสามารถเกิดได้ทุกเวลา ดังนั้นประกันภัยเรื่องเรื่องอื่นๆ ก็ยังสามารถเดินหน้าธุรกิจได้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นประกันน้ำท่วม, ไฟไหม้, สุขภาพ หรือแม้กระทั่งชีวิต แต่หากเรื่องทั้งหมดนี้สามารถยกระดับเรื่องความปลอดภัยได้ เช่นมีการแพทย์ที่ทันสมัย และช่วยลดอัตราเสี่ยงเรื่องสุขภาพลงไปได้ หรือไม่ก็บ้านที่สามารถยกสูงเพื่อกันน้ำท่วม รวมถึงกันไฟไหม้ได้เอง ธุรกิจประกันก็คงยากที่จะทำตลาด หากไม่สร้างความแตกต่างจิรงๆ ซึ่งกว่าจะถึงเวลานั้นก็คงอีกนาน
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา