หลังเบอร์ 1 ตลาดอย่าง Seagull ซบเซามาทั้งปี เลยขออัดงบตลาดปีนี้ 30 ล้าน พร้อมส่งกระทะใหม่

ตลาดเครื่องครัวซบเซามาตลอดปี 2017 ส่งผลให้ยอดขาย Seagull ไม่โตในปีก่อน แต่เมื่อปัจจัยเปลี่ยน ปีนี้ Seagull เลยเดินเกมส่งกระทะนอนสติ๊กมาแข่งในตลาด พร้อมกับทุ่มงบ 30 ล้านลุยทั้งแพลตฟอร์มออนไลน์-ออฟไลน์

Seagull เชื่อตลาดเครื่องครัว 8,000 ล้าน ปีนี้จะดีขึ้น หลังซบเซายาวทั้งปีก่อน

อรุณ เรืองจรุงพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยสเตนเลสสตีล จำกัด ส่งสัญญานเรียกความเชื่อมั่น หลังตลอดทั้งปี 2017 ตลาดเครื่องครัวซบเซา เนื่องจากปัญหาน้ำท่วม และเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัว ปิดรายได้ที่ 1,500 ล้านบาท หรือเพิ่มจากปีก่อนหน้าเพียง 1 – 2% พูดง่ายๆ คือ ไม่ใช่ว่ายอดขายไม่ดี แต่เพียงไม่เติบโตจากปีก่อนหน้า

“Seagull เติบโตทุกปีอยู่แล้ว ในอดีตเติบโตทุกปีอยู่ที่ 10% เพียงแต่ว่าในปี 2017 ถือเป็นในรอบ 10 ปีที่ยอดขายไม่โต เพราะต่างจากปีก่อนหน้าเพียง 1 – 2% แต่เชื่อว่าปีนี้จะกลับมาโตที่ 7 – 8% เพราะ GDP ไทยจะโตถึง 4% และเศรษฐกิจโลก ฝั่งตะวันตกก็ดีขึ้น ส่วนตลาดรวมของเครื่องครัวไทยเชื่อว่าจะโตอีก 8% ปีนี้เราจึงจะกลับมาโต”

ในภาพรวมของตลาดเครื่องครัวทั่วไปมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 8,000 ล้านบาท (ในอีก 2 ปี Seagull คาดว่าตลาดนี้จะโตไปถึง 10,000 ล้านบาท) แต่ถ้าเจาะเอาเฉพาะเครื่องครัวทั่วไปจะอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท ซึ่งในสัดส่วนนี้ Seagull บอกว่าครองอยู่ 30% (เป็นเบอร์ 1 ร่วมกับแบรนด์คู่แข่ง)

นอกจากเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในช่วงปีหลังของปี 2017 และจะส่งผลต่อยอดขายที่ดีมายังปี 2018 Seagull ก็ไม่นอนใจ จึงได้ส่ง แผนหลัก 2 แผนของปี 2018 ออกมาสู้ในตลาดคือ 1) ส่งสินค้าตัวใหม่มาแข่ง และ 2) ทุ่มงบอีก 30 ล้านบาทเพื่อสู้ศึกตลาดเครื่องครัว

ซ้าย-เชฟ กลาง-สิทธิชัย เรืองจรุงพงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ไทยสเตนเลสสตีล จำกัด ขวา-อรุณ เรืองจรุงพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยสเตนเลสสตีล จำกัด

แผนใหญ่ 1 : ส่งกระทะนอนสติ๊กมาแข่งในตลาด 1,000 ล้าน

ภาพรวมของตลาดเครื่องครัวเคลือบสารกันติด หรือเครื่องครัวนอนสติ๊ก อรุณ บอกว่า “ภาพรวมตลาดนี้น่าจะอยู่ที่ราวๆ 1,000 ล้านบาท” โดยตลาดนี้ Seagull ก็ครองส่วนแบ่งตลาดอยู่ถึง 1 ใน 3 คิดเป็นสักส่วนรายได้ให้กับ Seagull ถึง 30% (ส่วนอีก 70% มาจากตลาดเครื่องครัวสเตนเลสสตีล)

สินค้าตัวใหม่ที่ส่งมาเล่นในตลาดคือ กระทะนอนสติ๊กรุ่น Gladiator 4DX โดย Seagull เชื่อว่าจะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนทุกกลุ่ม ไม่ใช่แค่คนรุ่นใหม่ เพราะราคาเข้าถึงได้ เริ่มต้นเพียง 500 – 800 บาทเท่านั้น ตลาดที่ต้องการเจาะคือตลาดต่างจังหวัดที่เป็นฐานคนกลุ่มใหญ่ และกลางปี 2018 นี้ คนไทยจะได้เห็นแคมเปญของกระทะนอนสติ๊กตัวนี้ของ Seagull ออกมาทางสื่อต่างๆ อย่างแน่นอน

ที่น่าสนใจคือ Seagull บอกว่า การทำตลากนับต่อจากนี้จะเน้นออนไลน์มากขึ้น เป็นสัดส่วนออนไลน์ 70% และออฟไลน์ 30% “ออฟไลน์ก็ยังทิ้งไม่ได้ แต่ออนไลน์ก็ต้องเข้าไปจับด้วย” 

แผนใหญ่ 2 : ทุ่ม 30 ล้าน ทำการตลาดลุยออนไลน์-ออฟไลน์

สิทธิชัย เรืองจรุงพงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ไทยสเตนเลสสตีล จำกัด พูดถึงการทำตลาดในปีนี้ว่า Seagull จะทุ่มงบ 30 ล้านบาทเพื่อทำการตลาดในปีนี้ โดยเน้นไปที่การทำออนไลน์มากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทิ้งออฟไลน์ เพราะยังสำคัญ ปีนี้จะได้เห็นการขยายร้านที่เป็นช่องทางจัดจำหน่ายของ Seagull เกิดขึ้นในโมเดิร์นเทรดเพิ่มขึ้นแน่นอน

ในด้านออนไลน์ ล่าสุด Seagull ได้ส่งสินค้าลงไปในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซแล้ว เช่น ตอนนี้สินค้ามีขายใน 11Street กับ Lazada แล้ว แต่ถ้าถามถึงยอดขาย ต้องตอบว่ายังไม่โต “ยังไม่ถึง 5% ด้วยซ้ำ” แต่การทำออนไลน์ของ Seagull คือการขยายแพลตฟอร์มให้ทันกระแส ทันความต้องการของผู้บริโภค “เราไม่ได้ทำตลาดออนไลน์แบบสตาร์ทอัพ ที่สนใจแต่ growth แต่เราทำก็เพราะต้องการขยายแพลตฟอร์มให้ทันกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ที่สำคัญเราไม่อัดโฆษณาเหมือนบางราย แต่เราเน้นเติบโตแบบยั่งยืน”

กลยุทธ์ของ Seagull รายละเอียดของสินค้าคือความแตกต่างที่ตอบโจทย์

ในด้านการพัฒนาสินค้า Seagull ให้ข้อมูลไว้ว่า ในแต่ละปีจะลงงบประมาณ 30 – 50 ล้านบาทในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เช่น ใช้ Automation (หุ่นยนต์) มากขึ้น เพื่อลดจำนวนคนงานให้น้อยลง

ความน่าสนใจของการออกแบบผลิตภัณฑ์ของ Seagull ที่น่าพูดถึงคือ Seagull เมื่อลงมาเล่นในตลาดเครื่องครัวที่มีคู่แข่งหลายราย แต่จะไม่แข่งในสิ่งที่คู่แข่งในตลาดส่วนใหญ่ทำกันอยู่ เช่น ความแข็งแกร่งของกระทะที่ทำรายทำกันอยู่

“เราจะไม่แข่งกับตลาดในการทำกระทะให้แข็งที่สุด ทนที่สุด เพราะถ้าเน้นด้านนั้น วันหนึ่งจะถึงทางตัน และไปต่อไม่ได้ ที่สำคัญการออกแบบให้กระทะแข็งมากเกินความจริง มันจะดูเวอร์เกินความจำเป็น เรายอมรับว่าความแข็งและความทนของกระทะเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญ แต่ทำให้พอดี และทุ่มเทกำลังที่เหลือไปสนใจใน ‘รายละเอียด’ เช่น เราออกแบบให้ที่จับกระทะโค้งขึ้น เพื่อไม่ให้โดนไฟจากเตา หรือหลายคนบอกว่าใช้ตะหลิวในการผัดอาหาร แต่มักจะตกลงไปในกระทะ เราก็ออกแบบให้ตะหลิวมีที่พักและยึดเกาะกับกระทะ เรามองว่าตรงนี้ต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญ และสร้างความต่างให้กับแบรนด์”

สรุป

หลังจากยอดขายซบเซาตลอดทั้งปี 2017 ในปี 2018 นี้ Seagull เชื่อว่าด้วยภาพรวมของเศรษฐกิจที่ดีขึ้น จะทำให้ยอดขายกลับมาโตอีกครั้งที่ 7 – 8% กลยุทธ์หลักคือการทุ่มงบทำตลาด 30 ล้านบาท เพื่อลุยแพลตฟอร์มออนไลน์และออฟไลน์ นอกจากนั้นก็ส่งกระทะนอนสติ๊กตัวใหม่ (เพิ่งออกมาสู่ตลาดเมื่อปลายปี 2017) ที่เป็นสินค้ากลุ่มขายดีของบริษัทมาลุยในตลาดนอนสติ๊ก ปีนี้คงได้เห็น Seagull กลับมาโตอีกครั้ง

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา