ทลายกำแพงทางเพศ จุดประกายการเปลี่ยนแปลง กับ 4 ผู้นำหญิงแห่งวงการเทคโนโลยี จาก SCBX

พูดคุยกับผู้บริหารหญิงแนวหน้าของวงการเทคโนโลยี เนื่องในเดือนสตรีสากล กับ SCBX Tech Horizon  ตอน LeadHERS in Tech: Women Driving Innovation & Impact ที่จะพาไปเจาะประเด็นบทบาทของผู้หญิงในวงการธุรกิจและเทคโนโลยี การสร้างแรงบันดาลใจเพื่อการเปลี่ยนแปลง และการยืนหยัดขับเคลื่อนธุรกิจด้วยกำลังของผู้หญิงท่ามกลางอุตสาหกรรมที่มีผู้ชายเป็นส่วนใหญ่

กับ 4 ผู้นำหญิงระดับแนวหน้า ได้แก่ คุณดาลัด ตันติประสงค์ชัย Chief Operating and International Business Officer, SCBX คุณกนกเนตร เจริญเศรษฐศิลป์ Chief Technology Delivery Officer, CardX คุณถิรนันท์ อรุณวัฒนกูล Chief Operating Officer, MONIX และ คุณญาณ์บดี จิตติกุลดิลก Chief Data Officer, DataX

ความสามารถคือเรื่องหลัก เพียงรู้ลึก รู้จริง เพศไหนๆ ก็ไม่สำคัญ

คุณดาลัด ตันติประสงค์ชัย ได้แชร์มุมมองจากประสบการณ์นับ 20 ปีที่ผ่านมา ความท้าทายในการเป็นผู้นำหญิงในอุตสาหกรรมที่มีผู้ชายเป็นส่วนมากและมีผู้หญิงเพียงหยิบมือ ซึ่งบางครั้งเธอเองก็เคยถูกมองด้วยความสงสัย จะทำอย่างไรให้ก้าวข้ามอคติทางเพศ และวางตัวอย่างเหมาะสมได้ 

โดยสิ่งสำคัญสำหรับคุณดาลัด คือ การทำการบ้านในสิ่งที่ต้องการจะนำเสนอ ทบทวนตนเองว่ามีความรู้ในเรื่องงานที่ต้องทำมากพอไหม ซึ่งความรู้ลึก รู้จริง รวมถึงแพชชั่นในสิ่งต้องการนำเสนอ คือสิ่งที่สามารถสร้างความประทับใจและความน่าเชื่อถือให้กับตนเองได้ โดยไม่เกี่ยวว่าจะเป็นใคร หรือเป็นเพศอะไร 

“Forget what you look like, forget your gender, just think about what you’re here to achieve, and what the outcome is.” 

สร้าง Role Model เผยแพร่ต้นแบบหญิงแกร่งที่ประสบความสำเร็จ

คุณญาณ์บดี จิตติกุลดิลก Chief Data Officer, DataX ได้เสริมในประเด็นดังกล่าว ปัจจุบันจำนวนผู้หญิงในวงการ Data AI ยังมีไม่มาก ไม่ใช่เฉพาะแค่ในไทย แต่ยังรวมถึงในต่างประเทศ ซึ่งคุณญาณ์บดี มองว่า ถึงสัดส่วนระหว่างผู้ชายและผู้หญิงจะต่างกันมาก แต่อย่าให้เพศมาเป็นกำแพงขวางกั้นการเรียนรู้ เพราะการที่อยู่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี คือเรื่องของความสามารถและแพชชั่นเป็นหลัก ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ อีกทางหนึ่งในการส่งเสริมให้มีผู้หญิงมากขึ้นในวงการเทคฯ คือการมี Role Model ของผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ซึ่งจะสามารถเป็นต้นแบบให้กับคนอื่นๆ 

โฟกัสที่ตัวเอง และจะไม่มีใครมาทำร้ายเราได้

ในโลกของการทำงาน แน่นอนว่าความรู้สึกในการเปรียบเทียบตัวเองกับคนที่เก่งกว่า หรือมีความรู้สึกว่าตนเองอาจไม่มีความสามารถเท่ากับคนอื่น อาการ Imposter Syndrome อาจจะเกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตจนเกิดความท้อแท้ถดถอยในงานได้ จะรับมือกับความรู้สึกตนเองอย่างไรให้ยังยืดหยัดต่อได้ แม้จะมีความสงสัยในตนเอง

คุณถิรนันท์ อรุณวัฒนกูล Chief Operating Officer, MONIX ได้แชร์ 4 สเต็ปในการสร้างความแข็งแกร่งทางใจได้อย่างน่าสนใจ สิ่งแรกที่ต้องมี คือต้องรู้จักตนเอง รู้เท่าทันความคิด รู้จักความสามารถและสิ่งที่ตนเองสามารถทำได้ ขั้นตอนต่อมา ต้องยอมรับความจริง การรู้จักตนเองนั่นหมายถึงการรู้ข้อเสียของตนเองด้วย ซึ่งข้อเสียนั้นเองคือสิ่งที่เราต้องยอมรับมัน เพื่อสามารถประเมินสถานการณ์โดยรวม ว่าอะไรคือสิ่งที่ตนเองทำได้ และข้อจำกัดคืออะไร 

ต่อมาขั้นตอนที่สาม หลังจากรู้เท่าทันและยอมรับข้อเสีย คือการเคารพตัวเอง ข้อนี้แม้จะเป็นสิ่งที่ยากแต่ก็ควรฝึกฝนเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะบางคนที่อาจเผลอไม่เคารพตัวเองโดยไม่รู้ตัว และข้อสุดท้าย หยุดเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น หากจะเปรียบเทียบ ควรจะเปรียบเทียบกับตนเองในอดีต ว่าเราแข็งแกร่งขึ้น พัฒนาขึ้นจากเดิมหรือไม่ หากมีทั้ง 4 ข้อนี้ จะทำให้เรามีความแข็งแกร่งทางใจมากขึ้น มั่นใจมากขึ้น ความรู้สึกถดถอยว่าตนเองทำได้ดีหรือยังก็จะไม่เกิดขึ้น เปลี่ยนการโฟกัสจากผู้อื่นมาที่ตนเอง และจะไม่มีใครที่สามารถมาทำร้ายเราได้ 

ทำงานหนักแค่ไหน ก็อย่าลืมตัวเอง 

การมุ่งมั่นทำงานเป็นเรื่องที่ดี และจะดียิ่งขึ้นไปอีกหากไม่ละเลยที่จะกลับมาใส่ใจตนเอง คุณกนกเนตร เจริญเศรษฐศิลป์ Chief Technology Delivery Officer, CardX ได้ฝากข้อคิดไว้สำหรับคนทำงาน ไม่ใช่เพียงผู้หญิงแต่เป็นคนทำงานทุกเพศทุกวัย ซึ่งเธอมองว่าการทำงานควรควบคู่ไปกับ Self-Healthy ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต ยังมีชีวิตในส่วนอื่นๆ ที่ควรจะต้องใส่ใจ นอกเหนือไปจากการทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน อยากแนะนำให้หาเวลาพักผ่อนไม่ว่าจะเป็นการดูภาพยนตร์ หรือหาเวลาทานข้าว เข้าสังคม เพื่อฟื้นฟูความคิด ให้สมองได้ปลอดโปร่ง นอกเหนือไปจากการโฟกัสที่เรื่องงานเพียงอย่างเดียว

“ ทำให้ร่างกายและจิตใจแข็งแรง พอแข็งแรงก็มีแรงทำทุกสิ่ง ไม่ว่ายากลำบากแค่ไหนก็ตาม ถ้าเราร่างกายแข็งแรงทั้งกายใจก็จะทำให้เราสู้ได้ ”

การทำงานในอุตสาหกรรมที่สัดส่วนของเพศมีความแตกต่างกันอย่างมากอย่างวงการเทคโนโลยี สิ่งที่จะทำให้สามารถก้าวข้ามกำแพงทางเพศ นั่นก็คือความรู้ที่ลึกซึ้ง และความเชี่ยวชาญในงานที่กำลังทำ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่ารูปลักษณ์ เพศ หรืออายุ ควบคู่ไปกับการเสริมความแข็งแกร่งทางใจด้วยการหยุดเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น แล้วหันมาโฟกัสที่ตัวเอง ทำความเข้าใจ โอบรับ และเคารพตัวเองไม่ว่าจะด้านดีหรือด้านร้าย อย่างที่ผู้บริหารหญิงแกร่งทั้ง 4 ท่าน ได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ ข้อคิดดีๆ ในการทำงาน ซึ่งผู้ที่กำลังสนใจหรือทำงานในวงการเทคฯ ทุกเพศ ทุกวัย สามารถนำข้อคิดดีๆ เหล่านี้ ไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับตนเองในการทำงานได้

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา