เมียนมาเป็นหนึ่งในประเทศเพื่อนบ้านที่มีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจเป็นอย่างดี โดยเฉพาะในช่วง 5 ปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตของ GDP เฉลี่ยสูงกว่า 6-7% ต่อปี ทำให้นักลงทุนชาวไทยต่างให้ความสนใจ และใช้เมียนมาเป็นหนึ่งในฐานการผลิตเพื่อป้อนสินค้าเข้าสู่ตลาดโลก
จากข้อได้เปรียบข้างต้นของเมียนมาทำให้ธนาคารไทยพาณิชย์ มีความต้องการที่จะเข้าไปดำเนินกิจการธนาคารในเมียนมา ซึ่งในขณะนี้ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งธนาคารลูก (Subsidiary Bank) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่าในขณะนี้มีมูลค่าการลงทุนตรงจากประเทศไทย (FDI) ที่ลงทุนในเมียนมากว่า 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.5 แสนล้านบาท ซึ่งไทยเป็นประเทศที่ลงทุนในเมียนมามากที่สุด รองจาก ประเทศจีน และประเทศสิงคโปร์เท่านั้น นอกจากนี้ยังเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ด้วยมูลค่าการค้ากว่า 7.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2.4 แสนล้านบาท
ที่ผ่านมาธนาคารไทยพาณิชย์เริ่มให้บริการในเมียนมาผ่านสำนักงานผู้แทนธนาคารมาตั้งปี 2555 โดยหลังจากที่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งธนาคารลูกแล้ว ธนาคารไทยพาณิชย์วางแผนให้บริการอย่างครบวงจร ทั้งสินเชื่อ อัตราแลกเปลี่ยน ธุรกรรมการค้า และการบริหารเงินสด แก่นักลงทุนชาวไทยที่เข้าไปลงทุนในเมียนมา ซึ่งปัจจุบันมีนักลงทุนที่ให้ความสนใจใช้บริการกับธนาคารแล้วกว่า 100 ราย นอกจากนี้ยังวางแผนให้บริการสินเชื่อด้วยวงเงินกว่า 7,000 ล้านบาทในช่วง 5 ปีแรกของการดำเนินการ
ซึ่งการได้รับอนุญาตให้จัดตั้งธนาคารลูกของธนาคารไทยพาณิชย์ในประเทศเมียนมา จะช่วยอำนวยความสะดวกด้านบริการทางการเงินในกลุ่มประเทศ CLMV+2 ได้แก่ ประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม จีน และสิงคโปร์ นอกจากนี้ยังทำให้สามารถให้บริการได้เหมือนธนาคารในท้องถิ่นรายอื่นๆ โดยสามารถเปิดสาขาได้สูงสุดถึง 10 สาขา ซึ่งในอนาคตธนาคารไทยพาณิชย์วางแผนว่าจะให้บริการลูกค้าบุคคลชาวเมียนมาด้วยเช่นกัน
ที่มา – ธนาคารไทยพาณิชย์
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา