แม้ในปีนี้จะมี Big Tech ตบเท้าเข้ามาตั้ง Data Center ในไทยหลายเจ้า แต่บทวิเคราะห์จาก SCB EIC มองว่า ปัจจัยนี้ยังไม่เพียงพอจะทำให้ ‘นิคมอุตสาหกรรม’ กลับมาโตได้ในหลาย ๆ มุม
ในภาพรวม ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม แบ่งเป็น 2 แบบ คือ กลุ่มจัดสรรที่ดินในรูปแบบนิคม/เขต/สวนอุตสาหกรรม เช่น WHA, AMATA, AMATAV, ROJNA, PIN, JCK และ NNCL และกลุ่มให้เช่าโรงงานสำเร็จรูปในพื้นที่ เช่น FPT และ WIN
SCB EIC มองว่าในปี 2025 ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมทั้ง 2 แบบจะ ‘ซบเซา’ เมื่อเทียบกับปีก่อน แม้มูลค่าการลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัลจะขยายตัวมากกว่า 400% โดยเฉพาะการลงทุนตั้ง Data Center
ทั้งนี้ SCB EIC คาดว่า ยอดโอนที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมจะลดลงจากปี 2024 ที่ 4,700 ไร่ เป็น 3,000 ไร่ในปี 2025 (ลดลง 36.2%) และพื้นที่โรงงานสำเร็จรูปจะเติบโตชะลอตัวลง 2% จากปี 2024 (ซึ่งปีนั้นเติบโต 6%)
แม้นิคมอุตสาหกรรมไทยจะได้เปรียบในหลายเรื่องทั้งตำแหน่งที่ตั้ง, คุณภาพโครงสร้างพื้นฐาน, ความพร้อมของระบบสาธารณูปโภค และห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่ง
แต่ก็มีอุปสรรคอยู่ 5 เรื่อง ที่กดดันการเติบโตนิคมอุตสาหกรรมไทยในปีนี้ คือ
- มาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ
- นโยบายส่งเสริมการลงทุนของประเทศอาเซียน
- รูปแบบการลงทุนที่เน้นผลิตบางชิ้นส่วนในห่วงโซ่อุปทาน
- ความเปราะบางของการเมืองไทย
- การปรับเปลี่ยนนโยบายส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ
นอกจากนี้ ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ยืดเยื้อมานานหลายปีส่งผลให้การเข้ามาลงทุนในไทยของนักลงทุนต่างชาติโดยเฉพาะนักลงทุนจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2024 มีการลงทุนจากต่างชาติสูงถึง 75% ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมด โดยการลงทุนจากจีนและฮ่องกงมีสัดส่วนสูงสุดที่ 34% ตามด้วยการลงทุนจากสิงคโปร์ที่มีสัดส่วน 31%
ที่มา: SCB EIC
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา