SCB EIC ปรับลดเป้า GDP ไทยปีนี้เหลือ 3.8% สงครามการค้ายังคงกดดันเศรษฐกิจโลก

สิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกในไตรมาสแรกของปี 2019 ซึ่งในไตรมาสแรกนี้สงครามการค้ายังคงกดดันเศรษฐกิจโลกอยู่

ภาพจาก Unsplash

เข้าสู่ปี 2019 เศรษฐกิจโลกยังโดนประเด็นสำคัญอย่างสงครามการค้ากดดันต่อจากปี 2018 แน่นอนว่าผลกระทบนี้ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยต่อ โดย SCB EIC ได้ปรับประมาณการณ์การเติบโตของ GDP ไทยลงมาเหลือเพียงแค่ 3.8% และยังได้ปรับเป้าการส่งออกของไทยลดลงด้วย

Brand Inside สรุปประเด็นสำคัญๆ ของภาคเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่ควรจจับตามองในไตรมาส 1 นี้

สงครามการค้ากระทบไปทุกภาคส่วน

ยรรยง ไทยเจริญ ผู้บริหารสูงสุด SCB EIC ได้กล่าวย้อนไปเล็กน้อยถึงภาพรวมและมุมมองว่า เศรษฐกิจโลกเริ่มพ้นจุดสูงสุดไปแล้ว และเริ่มชะลอตัวลง โดยเฉพาะเศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วเริ่มชะลอตัวลง ส่วนตลาดเกิดใหม่ หรือ EM ทรงๆ ตัว ยกเว้นเศรษฐกิจในทวีปแอฟริกาที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ หรือ Commodities มีราคาดี โอกาสที่เศรษฐกิจโลกจะถดถอยในปี้นี้น้อยมากโดยอยู่ประมาณ 20%

อย่างไรก็ดีสงครามการค้าทำให้เกิดผลกระทบใน 3 ช่องทางสำคัญ

  1. การค้าโลกชะลอตัวลง 
  2. ความเชื่อมั่นถูกบั่นทอนลง
  3. ภาวะการเงินตึงตัวขึ้น

ผลกระทบดังกล่าวทำให้ต้องมีการปรับตัวเลขทางเศรษฐกิจใหม่ โดยเฉพาะการเติบโต GDP ของจีนอาจเหลือแค่ 6.2% เท่านั้น และได้รับผลจากสงครามการค้ามากกว่าที่คิด ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ถดถอย นอกจากนี้ยังได้ปรับประมาณการณ์ GDP ของไทยในปีนี้จะเติบโตแค่ 3.8% ด้วย

ภาพจาก Shutterstock

เศรษฐกิจไทยเลยจุดสูงสุดไปแล้ว

มาดูทางด้านเศรษฐกิจไทยบ้าง โดยการส่งออกซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ตามการส่งออกในเอเชียที่ชะลอตัวลง ไทยได้รับผลกระทบเนื่องจากไทยอยู่ใน Supply Chain ส่งไปจีนด้วย ทำให้ SCB EIC ปรับลดเป้าการส่งออกเติบโตเหลือ 3.4%

การท่องเที่ยวของไทยพึ่งนักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก โดยเป็นสัดส่วนประมาณ 50% ของการเจริญเติบโต แต่นักท่องเที่ยวจีนค่อนข้างกลับมาไว แต่ครั้งนี้ไม่ค่อยมีความเชื่อมั่นในการท่องเที่ยวของไทยเท่าไหร่โดยเฉพาะทัวร์จีน แต่นักท่องเที่ยวแบบที่เดินทางเข้ามาลำพังหรือ F.I.T เริ่มเติบโตมานิดหน่อย แต่ยังติดลบอย่างต่อเนื่อง

ความโชคดีของไทยคือได้นักท่องเที่ยวในอาเซียน กับอินเดียที่มาช่วยไว้ แต่ค่าใช้จ่ายตัอหัวก็ยังน้อยกว่านักท่องเที่ยวจีนอยู่ดี SCB EIC เชื่อว่านักท่องเที่ยวจีนน่าจะกลับมาในไตรมาส 2 นอกจากนี้คาดว่านักท่องเที่ยวรวมของไทยจะอยู่ประมาณ 40 ล้านคน

SCB EIC มองความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยปีนี้

  1. ภาคการส่งออกที่ชะลอลง
  2. SME ที่สถานการณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
  3. การลงทุนในภาคอสังหา หลังมาตรการบังคับใช้
  4. ความไม่แน่นอนทางการเมือง
ภาพ pixabay.com

ภาคการบริโภคของไทยยังดูทรงๆ

การบริโภคภายในประเทศ จะไปเติบโตกับสินค้าประเทศรถยนต์มากกว่า ซึ่งทำให้เกิดการก่อหนี้ นอกจากนี้สถาบันการเงินต่างๆ ก็ยังได้ออกโปรโมชั่นออกมาด้วย ทำให้หนี้ครัวเรือนไตรมาส 3 ปรับขึ้นเล็กน้อย ส่วนค่าจ้างที่แท้จริงปรับตัวได้น้อยมากแต่ต้องจับตามองนโยบายค่าแรงขั้นต่ำหลังเลือกตั้ง  นอกจากนี้ ชั่วโมงทำงานเฉลี่ยอาจลดลงตามค่าแรงที่สูงขึ้นและเทคโนโลยีในการผลิตที่เข้ามาด้วย

ภาคเกษตรปีที่แล้วได้ผลผลิตดี แต่ราคาสินค้าเกษตรไม่ดีเอาเสียเลย ทำให้ 11 เดือนแรกรายได้ของเกษตรกรทรงตัวด้วยซ้ำ คาดว่าในปีนี้จะทรงตัวหรือเพิ่มได้เล็กน้อย สิ่งที่ต้องจับตามองคือข้าวไทยยังมีความต้องการที่สูง แต่ต้องระวังภาวะ El Nino เริ่มมีผลกระทบในปีนี้ อาจทำให้เกิดภัยแล้งได้

ภาพจาก Pixabay

ภาคการลงทุนของไทยยังดีขึ้น

SCB EIC มองว่าการลงทุนภาคเอกชนยังขับเคลือนเศรษฐกิจไทยได้ แม้ว่า เม็ดเงินลงทุน หรือ FDI ไทยยังอาจลดลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า แต่อาจได้ผลประโยชน์บ้างจากการย้ายฐานการผลิตถ้าหากสงครามการค้ารุนแรงมากขึ้น นอกจากนี้การลงทุนภาครัฐยังเติบโตประมาณ 9%

การลงทุนที่อาจไปได้ดีในปีนี้ที่ SCB EIC มองไว้คือ การก่อสร้างโรงแรม เนื่องจากอัตราเข้าห้องพักยังสูง เรื่องของ E-commerce ยังเติบโต Logistics ยังโต การปรับตัวเข้าสู่โลกดิจิทัล เช่น ค้าปลีก

นอกจากนี้ EEC ซึ่งเป็นความหวังของเศรษฐกิจไทย ยังได้รับความสนใจจากเอกชน โดยเฉพาะ อสังหาริมทรัพย์ โรงแรม ร้านอาหาร สอดคล้องกับการจดทะเบียนนิติบุคคลไทยยังเพิ่มขึ้น เช่น โรงแรม ร้านอาหาร รวมไปถึงภาคการขนส่ง

ภาพจาก Shutterstock

เรื่องของสภาวะการเงิน

SCB EIC มองว่าสภาวะการเงินตึงตัวขึ้น จากการปรับขึ้นดอกเบี้ย และปีนี้เป็นปีแรกของงบดุลธนาคารกลางต่างๆ ทยอยลดลงเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกลางสหรัฐ ธนาคารกลางยุโรป ส่วนธนาคารกลางญี่ปุ่นก็เริ่มทยอยลดการซื้อสินทรัพย์ลงแล้ว สำหรับการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกานั้นมองว่า Fed อาจขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้แค่ 2 ครั้ง

สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ หนี้ของบริษัทเอกชนในสหรัฐเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะพวก High Bond Yield แต่ขณะที่หนี้ภาคครัวเรือนสหรัฐปรับลดตัวลง ซึ่งหนี้บริษัทเอกชนที่สูงขึ้นอาจทำให้เกิดสภาวะชะลอลงของเศรษฐกิจ

ส่วนเรื่องของการไหลเข้าออกของเม็ดเงินในที่ต่างๆ SCB EIC มองว่าเม็ดเงินจะไหลเข้า EM น้อยกว่าในอดีตที่มีนโยบายผ่อนคลายทางการเงินหรือ QE อย่างไรก็ดีก็อยู่กับปัจจัยพื้นฐานของแต่ละประเทศด้วย เนื่องจาก EM มีการขยายตัวที่ดีกว่า แต่ในระยะสั้นอาจมีความผันผวนได้

สำหรับภาคการเงินของไทย สภาพแวดล้อมทางการเงินยังเอื้อต่อการสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจไทย แต่อยู่ในระดับน้อยลง ซึ่งยรรยงยอมรับว่าภาคการเงินของไทยโตกว่าภาคเศรษฐกิจจริงๆ และคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. จะขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้อีกแค่ 1 รอบ

อย่างไรก็ดีเรื่องการเข้าถึงสินเชื่อของไทย จากผลสำรวจธนาคารแห่งประเทศไทยได้ทำการสอบถามธนาคาร ผลคือ เข้มงวดมากขึ้น แม้ว่าสภาพคล่องในระบบจะยังสูงก็ตาม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา