ผ่านครึ่งแรกของปี 2018 ไปแล้วเรียบร้อย แสนสิริ เป็นหนึ่งในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ทำยอดขายได้ดีอย่างเห็นได้ชัด ล่าสุดได้ประกาศว่า ครึ่งปีนี้มียอดขายสูงสุดในรอบ 34 ปี แตะ 24,000 ล้านบาทไปเรียบร้อย พร้อมเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ที่จะตอบความต้องการของผู้บริโภคได้ในทุกด้าน
คุณวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) กล่าวว่า แสนสิริ สามารถทำยอดขายได้แล้วถึง 24,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 62% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็น 53% จากเป้าหมายยอดขายที่ตั้งไว้ 45,000 ล้านบาท โดยบริษัทสามารถทำได้ดีทั้งในตลาดกรุงเทพและต่างจังหวัด ทั้งลูกค้าชาวไทยและต่างชาติ
ครึ่งปีแรกนี้โครงการที่ได้รับการตอบรับดีมีหลากหลายโครงการ อาทิ เดอะ เบส เซ็นทรัล – ภูเก็ต และ ดีคอนโด แคมปัส โดม-รังสิต ที่สามารถปิดการขายทันทีในวันแรกที่เปิดพรีเซล พร้อมทั้งโครงการต่างจังหวัด เช่น ลา กาซิตา หัวหิน ที่ไม่แพ้กันกับยอดขายถึง 90% ภายในระยะเวลา 1 เดือน และโครงการ เอดจ์ เซ็นทรัล พัทยา ที่ล่าสุดมียอดขาย 95 % เตรียมปิดการขาย ตามมาติดๆ กับ ดีคอนโด หาดใหญ่ ที่มียอดขายกว่า 50% แล้วตอนนี้
นอกจากนี้ แสนสิริยังประสบความสำเร็จจากการเปิดตัว บ้านแสนสิริ พัฒนาการ ผลงานสถาปัตยกรรมยุครีเจนซี่ (Regency) จากประเทศอังกฤษ ที่เน้นความเป็นส่วนตัวสูงสุดด้วย จำนวน 36 ยูนิต บนที่ดิน 37 ไร่ ถนนพัฒนาการซอย 30 ทำเลหายากใจกลางเมือง ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจ ที่สร้างยอดขายแล้ว 40% หลังเปิดการขายในช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ถือว่าเป็นยอดขายที่รวดเร็วมากในบ้านเดี่ยวในระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ระดับราคา 65 – 240 ล้านบาท รวมทั้งโครงการบ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์ เศรษฐสิริ ระดับราคา 10 – 25 ล้านบาท และบุราสิริ ก็ได้รับการตอบรับที่ดีไม่ต่างกัน
ผลจากการรุกทาวน์เฮาส์ภายใต้แบรนด์ สิริ เพลส ทาวน์เฮาส์คุณภาพในระดับ Best in Class ในราคาเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้ แผนเปิดตัวทั้งหมด 8 โครงการก็ดีไม่แพ้กัน เพียงเปิดตัวแค่ 5 โครงการ 5 ทำเล ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาก็ส่งผลให้ยอดพุ่งพรวดไปถึง 2,300 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 175% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ ทางแบรนด์เชื่อว่าความสำเร็จมาจากการพัฒนาโครงการเพื่อตอบรับเทรนด์การอยู่อาศัยคนรุ่นใหม่ภายใต้แนวคิดเติมเต็มการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ (Complete Your Living Experience) และความโดดเด่นของโครงการในคอนเซ็ปต์ ขยายทุกความชอบให้เป็นไปได้ และในครึ่งปีหลังนี้แบรนด์ สิริ เพลส เตรียมเปิดตัวเพิ่มอีก 2 โครงการ
พร้อมกันนั้นบริษัทยังประสบความสำเร็จในการสร้างยอดขายจากตลาดต่างชาติ โดยสามารถสร้างยอดขายได้ถึง 6,000 ล้านบาท คิดเป็นเกือบ 50% จากเป้าหมายยอดขายตลาดต่างชาติที่ตั้งไว้ในปีนี้ 13,000 ล้านบาท ปัจจุบันแสนสิรินับเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไทยที่ครองส่วนแบ่งการตลาดลูกค้าต่างชาติที่สูงที่สุด จากการเป็นบริษัทไทยเดียวที่เปิดการขายโครงการในต่างประเทศพร้อมกันในหลายประเทศ (Global Launch) และจัดกิจกรรมหลังการขายกับลูกค้าต่างชาติอย่างต่อเนื่อง
ด้าน Digital Transformation แสนสิริ มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีและมองหานวัตกรรมที่นำมาต่อยอดได้สำหรับลูกค้าทุกกลุ่ม อาทิ การจับมือสองยักษ์ด้านดิจิทัล ไมโครซอฟท์ และ เอไอเอส เปิดตัวสุดยอดนวัตกรรมเชื่อมโลกจริงและเสมือนจริง Mixed Reality (MR) มาใช้ในวงการอสังหาฯ เป็นครั้งแรกของไทย ชูไฮไลท์ MR Sales Gallery ห้องตัวอย่างเสมือนจริงครั้งแรกในโลก ยกระดับประสบการณ์การซื้อที่อยู่อาศัยไปอีกขั้นผ่านการจำลองสภาพแวดล้อม พร้อมฟังก์ชันในการออกแบบและปรับเปลี่ยนห้องตัวอย่างได้ในทุกมุมมอง เตรียมนำร่องใช้งานกับโครงการคอนโดมิเนียมของแสนสิริในปีนี้
นอกจากนี้ล่าสุด ยังนับเป็นครั้งแรกของแสนสิริและแอลจีสู่การนำนวัตกรรมสุดล้ำเพื่อเปิดตัว สมาร์ทโฮม โซลูชัน ลูกบ้านแสนสิริสามารถเชื่อมต่อระบบสั่งงานของ Smart ThinQTM ผ่าน Home Service Application ของแสนสิริ เพื่อให้ครอบคลุมในทุกมิติของการใช้ชีวิตภายในแอพพลิเคชั่นเดียว ขณะเดียวกันบริษัทยังประสบความสำเร็จจากการจับมือกับพาร์ทเนอร์พันธมิตรธุรกิจที่ครอบคลุมหลายธุรกิจ ผนึกความแข็งแกร่งระหว่างสองธุรกิจในการนำเทคโนโลยีเข้ามาตอบรับลูกค้าตามแนวคิด Complete Your Living Experience อีกด้วย
ขณะที่ สิริ เวนเจอร์ส บริษัทลูกก็ประสบความสำเร็จในความร่วมมือผลักดันสร้างระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพ ร่วมกับเครือข่ายนวัตกรรมระดับโลก อาทิ SOSA และ Plug and Play รวมถึงล่าสุดกับการนำนวัตกรรม Wind Turbine จาก Semtive สตาร์ทอัพชั้นนำผู้พัฒนากังหันลมสำหรับที่พักอาศัยจากสหรัฐอเมริกาที่ได้เข้าไปร่วมลงทุน มาจัดแสดงเป็นครั้งแรกในประเทศไทยในงาน TechSauce Global Summit 2018 เพื่อเป็นการแนะนำให้คนไทยได้สัมผัสกับนวัตกรรมสุดล้ำและสร้างโอกาสในการเติบโตในตลาดไทยไปพร้อมกัน
เวลาเดียวกันแสนสิริก็ได้นำแนวคิดระดับโลกอย่าง Agile (เอจาวล์) มาพลิกโฉมองค์กรรับยุคมิลเลนเนียล ฉีกกฏการทำงานแบบเดิมให้คล่องตัวและมีประสิทธิภาพขึ้น พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภายในองค์กรนำระบบ Salesforce เข้ามาใช้ เพื่อพัฒนาระบบการทำการตลาด รวมถึงระบบการบริการลูกค้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการนำระบบ Primavera ที่ช่วยควบคุมขั้นตอนการก่อสร้าง มาใช้ในองค์กรเป็นครั้งแรก
ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ บริษัทจะรุกพัฒนาโครงการใหม่สานต่อความสำเร็จอย่างต่อเนื่องทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อาทิ เชียงใหม่ และ หัวหิน โดยมีแผนการเปิดตัวโครงการใหม่อีก 15 โครงการมูลค่ารวม 36,900 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 6 โครงการ บ้านเดี่ยว 4 โครงการ และทาวน์เฮาส์ 6 โครงการ และเดือนสิงหาคมนี้บริษัทเตรียมเปิดตัว XT แบรนด์คอนโดมิเนียมล่าสุดที่จะฉีกกฎเดิมๆ ของคอนโดมิเนียม วางแผนเปิดตัวในปีนี้ 3 โครงการ บน 3 ทำเลศักยภาพ คือ เอกมัย พญาไท และ ห้วยขวาง
โครงการเดียวคงไม่พอ บริษัทยังมีแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมแบรนด์ เดอะ เบส ภายใต้แบรนด์คอนเซ็ปต์ใหม่ MARK MY BASE จำนวน 3 โครงการ 3 ทำเล ในกรุงเทพฯ และภูเก็ต มูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท ในปี 2561 โดยจ่อคิวเปิดตัว เดอะ เบส สุขุมวิท 50 และ เดอะ เบส สะพานใหม่ ในเดือนสิงหาคมนี้ รวมถึงพร้อมเปิดตัวคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ Via (เวีย) อีกครั้งในปีนี้ จากที่เคยประสบความสำเร็จจากคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์เวียมาแล้ว 3
บริษัทยังมีแผนการสานต่อกลยุทธ์การเติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยการเป็นพันธมิตรกับบริษัทชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศ กลุ่มโครงการที่อยู่อาศัยจะมีการพัฒนาโครงการใหม่จากการลงทุนร่วมกับบีทีเอสและโตคิว กรุ๊ป อย่างต่อเนื่อง ในส่วนกลุ่มธุรกิจใหม่ JustCo ได้เตรียมเปิด โคเวิร์คกิ้งสเปซเป็นแห่งที่ 2 ที่อาคาร All Seasons Place หลังปักธงเปิดสาขาแรกใหญ่ที่สุดในประเทศไทยที่อาคาร AIA Sathorn ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยเล็งมอบสิทธิพิเศษให้ลูกบ้านแสนสิริเข้าใช้บริการ นอกจากนี้ในช่วงครึ่งปีหลัง Hostmaker (โฮสต์เมกเกอร์) บริษัทผู้ให้บริการ บริหารการเช่าที่พักอาศัยและผู้บริหารการจองที่พักอันดับหนึ่งของ Airbnb จะเข้ามาช่วยบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ให้แก่ลูกบ้านและสร้างเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศอีกด้วย
พร้อมต่อเติมกำลังภายในให้เข้มแข็งด้วยแผนเพิ่มกำลังการผลิตในโรงงานพรีคาสท์ของแสนสิริให้สอดคล้องกับการเติบโตและรองรับการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ของแสนสิริ เพื่อลดระยะเวลาการก่อสร้าง ลดการใช้แรงงาน และปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตให้มีความคล่องตัวสูง รวมถึงการเดินหน้าวิสัยทัศน์ขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืน (Sustainability) ภายในองค์กรผ่าน 3 แกนหลัก ได้แก่
- Environment – อาทิ ลดการใช้กระดาษ (Paperless) ลดคาร์บอน ฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) ผ่านการลดขั้นตอนการทำงานที่ไม่จำเป็น เป็นต้น
- Social Change ที่ผ่านมาแสนสิริได้ร่วมกับยูนิเซฟเพื่อพัฒนาสิทธิเด็กในประเทศไทยมานานกว่า 7 ปีรวมถึงการจัดกิจกรรมสำหรับเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของเด็กในไซต์งานก่อสร้าง นอกจากนี้ยังเน้นการออกแบบโครงการต่างๆ ให้ทุกคนสามารถใช้งานได้เท่าเทียมกัน หรือที่เรียกว่า Universal Design
- Good Governance – ยึดหลักธรรมาภิบาลในการดำเนินงานอย่างโปร่งใสถูกต้อง
“ผลการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีแรกของบริษัทที่มียอดขายเติบโตขึ้นถึง 62% เทียบกับปีที่ผ่านมา คิดเป็นเกินกว่า 53% จากเป้าหมายยอดขายรวมที่วางไว้ ผนึกกับความแข็งแกร่งของแผนธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 นี้ บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ในปีนี้ 45,000 ล้านบาทอย่างแน่นอน ซึ่งจะนับเป็นการสร้างประวัติการณ์ยอดขายใหม่ที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 35 ปีของแสนสิรินับแต่มีการก่อตั้งบริษัทและเป็นปีที่ดีที่สุดของแสนสิริ”
คงต้องมาติดตามกันว่า แผนงานครึ่งปีหลังที่แสนสิริวางไว้จะสามารถไปถึงเป้าหมายที่บริษัทหวังจะเปิดหน้าใหม่ให้กับองค์กรจะเป็นอย่างไร แต่ดูจากความสำเร็จในครึ่งปีแรกที่ผ่านมาเป้าหมายที่วางไว้คงไม่ยากลำบากเท่าไรนัก
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา