เกมอสังหาฯ ในไทยคงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะยุคนี้แค่พื้นที่ดี และราคาโดนใจนั้นยังไม่พอ มันต้องมีสไตล์ รวมถึงนวัตกรรมใหม่เข้ามาด้วย ทำให้ “แสนสิริ” ลงทุนกว่า 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐใน 6 ธุรกิจระดับโลกที่กำลังเติบโต
แค่ไทยไม่พอ ต้องก้าวไปในระดับโลก
ด้วยภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยนั้นเติบโตกว่าค่าดัชนีมวลรวมของประเทศไทยเพียง 1.5 เท่า ซึ่งตอนนี้ก็อยู่ประมาณ 5-6% ดังนั้นการทำตลาดแค่ในประเทศไทยก็คงไม่เพียงพอ และการทำให้แบรนด์มีความอินเทอร์มากขึ้นก็จำเป็น เพื่อก้าวไกลในตลาดระดับโลกได้
และทาง “แสนสิริ” ก็เลือกเดินเส้นทางนี้มาระยะหนึ่งแล้ว ผ่านการรุกตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน เพื่อดึงกำลังซื้อใหม่ๆ เข้ามาทดแทนการจับจ่ายภายในไทยที่เติบโตไม่มาก และนั่นก็สำเร็จไปด้วยดี เพราะยักษ์อสังหาฯ รายนี้น่าจะปิดยอดขายจากต่างประเทศได้ที่ 12,000 ล้านบาทได้ในปีนี้
แต่ถึงแบรนด์แสนสิริจะเป็นที่รู้จักในตลาดต่างประเทศบ้างแล้ว นั่นก็ยังไม่เพียงพอกับวิสัยทัศน์ของ “เศรษฐา ทวีสิน” กรรมการผู้จัดการใหญ่ของแสนสิริ ที่ต้องการเป็นมากกว่าแค่ยักษ์ใหญ่ในไทย เพราะต้องการเข้าไปในตลาดโลกเต็มตัว ผ่านการควักเงินทุน 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2,800 ล้านบาท) เพื่อลงทุนในนวัตกรรมใหม่ในระดับโลกเพิ่ม
2,800 ล้านแค่จิ๊บๆ เพื่อการเป็นที่รู้จัก
“2,800 ล้านบาทที่เราลงไปถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก เพราะในปีนี้เรามียอดขายกว่า 40,000 ล้านบาท และเงินหมุนเวียนเราก็พร้อม ซึ่งนอกจากเราจะดึงนวัตกรรมใหม่ๆ จากการลงทุนครั้งนี้เข้ามาในไทยแล้ว ยังเตรียมขยับไปทำตลาดในยุโรป และออสเตรเลีย เพื่อได้ลูกค้าใหม่ๆ เข้ามาซื้ออสังหาฯ ที่เราลงทุนในไทยด้วย”
สำหรับการลงทุน 6 ธุรกิจของแสนสิริมูลค่า 2,800 ล้านบาทประกอบด้วย
- The Standard ผู้พัฒนาโรงแรมแบบใหม่ที่น่าจับตามอง โดยแสนสิริจะดึงมาช่วยพัฒนาโครงการแนวดิ่ง
- One Night บริการจองโรงแรม Last-Minute ซึ่งทางกลุ่มจะช่วยขยายตลาดในฝั่งยุโรป และเอเชียให้
- Hostmaker บริการรับดูแล และบริหารจัดการที่พักอาศัย ซึ่งทางกลุ่มจะเอามาช่วยขยายตลาดเช่าคอนโดฯ
- JustCo Co-Working Space หน้าใหม่ ที่เตรียมให้บริการในไทยที่ AIA สาทร และ All Seasons Place
- FarmSelf Agritech ที่ช่วยให้การปลูกต้นไม้สะดวกขึ้น และแสนสิริจะนำมาติดตั้งในโครงการต่างๆ
- Monocle สื่อสิ่งพิมพ์ที่นำเสนอความแตกต่าง โดยแสนสิริจะพัฒนาโครงการร่วมกัน ชูจุดเด่นเรื่องความมีสไตล์
โดยทุกธุรกิจ ยกเว้น The Standard ทางแสนสิริจะเข้าไปลงทุนในทันที เพราะใน The Standard นั้นทางกลุ่มได้เข้าไปถือหุ้นใหญ่ทั้งหมด 35% ผ่านการลงทุน 58 ล้านดอลลาร์ แต่จะทยอยใส่เพิ่มจนครบ ส่วนโครงการแนวดิ่งที่จะพัฒนาร่วมกับ Monocle จะได้เห็นในปี 2561 กับขนาด 150 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท
ทุกอย่างเพื่อลูกบ้าน และความยั่งยืน
อย่างไรก็ตามการลงทุน 2,800 ล้านบาทของแสนสิริเป็นแค่เงินก้อนหนึ่ง เพราะทางกลุ่มยังเตรียมงบลงทุนกว่า 12,000-13,000 ล้านบาท เพื่อซื้อที่ดิน และนำนวัตกรรมใหม่เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับโครงการทั้งใหม่ และที่มีอยู่ โดยมีจุดมุ่งหมายคือ ช่วยให้คนที่ยังไม่อยู่ และอยู่กับแสนสิริ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทได้นานที่สุด
“ทุกอย่างเพื่อลูกบ้าน และจูงใจให้คนที่ยังไม่เคยซื้อโครงการของเรา ส่วนเรื่องจะไปสร้างโครงการในต่างประเทศเลยไหม อันนั้นคงต้องดูกันยาวๆ เพราะตอนนี้เราเน้นที่ไทยก่อน และหวังว่าโครงการที่พักอาศัยที่เราทำกับ The Standard และ Monocle คงได้การตอบรับที่ดี และขอย้ำอีกครั้งว่าเราไม่ได้ทำโรงแรม แต่นำแนวคิดมาประยุกต์”
สรุป
จะเรียกว่า “แสนสิริ” เป็นผู้นำเรื่องการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็ว่าได้ เพราะนอกจาก Property Tech ที่ลงทุนอย่างต่อเนื่อง และยังมีแผนบุกตลาดในต่างประเทศที่ชัดเจน ส่วนเรื่องโครงการที่ร่วมกับ The Standard กับ Monocle คงช่วยให้ความหรูหรา และมีระดับของทางกลุ่มมีมากขึ้นไปอีกด้วย
ทั้งนี้โครงการที่ร่วมกับ The Standard จะเป็นโครงการแนวดิ่ง รวมถึงนำประสบการณ์ที่พาร์ทเนอร์มีไปรับบริหารงานโรงแรม รวมถึงถ้ามีโรงแรมเกิดใหม่ที่อยู่ในพื้นที่น่าสนใจ ทางกลุ่มก็มีโอกาสนำโครงการแนวดิ่งไปอยู่ในนั้น เพื่อพัฒนาเป็น Mix-Use และใช้ Facility ต่างๆ ร่วมกันได้
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา