อ่านเกมต่างชาติกับการลงทุนอสังหาฯ ในไทย ผ่านสายตายักษ์ใหญ่อย่าง “แสนสิริ”

ปัจจุบันธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่ว่าจะเดินหน้าขายห้องอิฐห้องปูนอย่างเดียว ต้องปรับตัวเองให้เข้ากับโลกดิจิทัลมากขึ้น ยิ่งชาวต่างชาติเริ่มให้ความสำคัญในการลงทุนที่พักอาศัยในไทย ความจำเป็นในการปรับตัวก็มากขึ้นอีก

90 WIRELESS หนึ่งในโครงการ Flagship ของแสนสิริ

ต่างชาติสำคัญ เพราะเป็นอีกแหล่งทุนใหญ่

การปรับตัวไปบุกตลาดต่างประเทศของผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์หลายรายแสดงให้เห็นถึงโอกาสทางธุรกิจสำคัญหากสามารถดึงเงินทุนจากต่างชาติเข้ามาในประเทศได้ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “แสนสิริ” ที่เดินหน้าเรื่องนี้อย่างจริงจัง ผ่านยอดขายที่เพิ่มเฉลี่ย 10,000 ล้านบาท/ปี ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

อภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บมจ.แสนสิริ เล่าให้ฟังว่า ด้วยราคาอสังหาฯ ประเภทต่างๆ ในต่างประเทศเช่นฮ่องกง, สิงคโปร์ และจีน มีราคาเฉลี่ยสูงกว่าไทย 6-7 เท่าตัวเมื่อเทียบในพื้นที่ระดับพรีเมี่ยมเช่นทองหล่อ ประกอบกับตัวเศรษฐกิจที่ยังมีโอกาสเติบโตอยู่ ทำให้หลายประเทศเริ่มมองการลงทุนอสังหาฯ ในไทยมากขึ้น

อภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บมจ.แสนสิริ

“เอาง่ายๆ ตอนนี้ที่ดินในทองหล่อมันขึ้นไปเร็วมาก แต่ก็ยังมีผู้บริโภคใน และต่างประเทศให้ความสนใจอยู่ ทำให้ความคุ้มค่าในการลงทุนค่อนข้างสูง แสนสิริจึงจริงจังกับการทำตลาดในต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้ซื้อชาวเอเชีย ที่กำลังซื้อยังสูง และมีวัฒนธรรมใกล้เคียงกับคนไทย ทำให้เพิ่มโอกาสตัดสินใจซื้อด้วย”

ดึงเงินเข้าประเทศ เติบโตไปด้วยกันทุกฝ่าย

สำหรับการทำตลาดในต่างประเทศของ “แสนสิริ” จะแต่งตั้ง Sale Agent ในแต่ละท้องถิ่นที่น่าสนใจ เพื่อช่วยให้การทำตลาดเป็นมิตรกับผู้ซื้อมากขึ้น โดยปีนี้คาดว่าจะทำยอดขายได้ราว 13,000 ล้านบาท คิดเป็น 20% ของรายได้ทั้งกลุ่มบริษัท ถือว่าค่อนข้างมาก ทำให้ต้องยิ่งลงทุนเรื่องนี้อย่างจริงจัง

โครงการ Taka Haus ของแสนสิริ ที่ร่วมกับกลุ่ม Tokyu จากประเทศญี่ปุ่น

“เราพยายามก้าวไปมากกว่าแค่คนขายบ้าน ขายคอนโด เช่นตอนนี้เราเข้าไปลงทุนใน Startup ที่น่าสนใจ และเป็นพาร์ทเนอร์กับธุรกิจอสังหาฯ ระดับโลกด้วย เพื่อยกระดับสิ่งที่ลูกบ้านได้จะมากกว่าแค่ที่พักอาศัย โดยเฉพาะเรื่องเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งต่างชาติก็ค่อนข้างชอบเรื่องนี้ ทำให้ตัดสินใจลงทุนกับแสนสิริอย่างต่อเนื่อง”

ที่สำคัญการเร่งทำตลาดในต่างประเทสยังเป็นการช่วยให้เงินหมุนเวียนในประเทศมากกว่าเดิมด้วย เพราะนอกจากตัวมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ที่ผู้ซื้อต่างชาติต้องจ่าย ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ซึ่งมีมูลค่าอีก 7-8 เท่าตัว จากมูลค่าอสังหาฯ เช่นค่าสาธารณูปโภค และค่าใช้จ่ายภายในบ้าน ดังนั้นมันช่วยดึงเงินเข้าประเทศโดยอัตโนมัติ

Happy asian woman smiling while taking selfie with mirrorless camera in front of white background
กลุ่มวัย Millennial // ภาพ Shutter Stock

เจาะ Millennial ด้วยโครงการโดยเฉพาะ

ขณะเดียวกัน “แสนสิริ” ยังมีแผนเจาะตลาด Millennial ที่ในอนาคตจะเป็นลูกค้ากลุ่มหลักในการซื้ออสังหาฯ ด้วยการทำโครงการที่ควบคุมการออกแบบโดยกลุ่ม Millennial ภายในบริษัทที่มีกว่า 70% ของพนักงานทั้งหมด เพื่อเพิ่มตอบโจทย์กับลูกค้ากลุ่มใหม่นี้ให้ได้ดีที่สุด

ส่วนเรื่องโครงการใหม่ปีนี้จะมีทั้งหมด 31 โครงการ มีทั้งในพื้นที่กรุงเทพ และต่างจังหวัด เพื่อตอบโจทย์กำลังซื้อในแต่ละพื้นที่ให้ได้ครอบคลุมที่สุด เพราะในกรุงเทพตัวคอนโดมิเนียมก็ยังมีความต้องการจากต่างชาติ และคนไทยอยู่ ส่วนในหัวหินก็ยังมีชาวต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มยุโรปที่เป็นตลาดใหม่ค่อนข้างให้ความสนใจเช่นกัน

“น้องแสนดี” หุ่นยนต์อัจฉริยะที่ใช้รับส่งพัสดุในโครงการคอนโดมิเนียมของแสนสิริ

“การแข่งขันในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังดุเดือดตลอด แต่ผมก็ค่อนข้างชอบให้แข่งขันกันนะ เพราะยิ่งแข่ง ผู้บริโภคก็ยิ่งได้ประโยชน์ แต่ต้องแข่งกันที่คุณภาพ ไม่ใช่ทำตลาดเสีย และเชื่อว่าการเติบโตของอสังหาฯ ในประเทศไทยยังไปได้อีกไกล ผ่านเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และต่างชาติที่ยังให้ความสนใจลงทุนอยู่”

สรุป

อสังหาริมทรัพย์ไทย กับตลาดต่างประเทศนั้นเกิดขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว เพราะเป็นอีกช่องทางสำคัญในการเพิ่มรายของผู้พัฒนาโครงการ หลังจากมีบางช่วงที่เศรษฐกิจในไทยซบเซาลงไปบ้าง ฝั่งคนจีน และชาวเอเชียอื่นๆ ก็เข้ามาช่วยได้เป็นอย่างดี และเชื่อว่าหลังจากนี้เทรนด์การลงทุนอสังหาฯ ของชาวต่างชาติก็ยังมีอยู่เช่นเดิม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา