ยังดีที่ปีก่อนมีฟุตบอลยูโรช่วยไว้ ทำให้ตลาดสินค้าโทรทัศน์ลดลงในแง่มูลค่าเพียง 1-2% ถ้าไม่มีอาจจะหดตัวยิ่งกว่านั้น เพราะปี 2560 ที่เข้าเดือน 8 มาแล้ว ตัวตลาดยังหดตัวอยู่ 2-3% คงกลับมาบวกได้ยาก และคงต้องรอปีหน้าที่ฟุตบอลโลกฟาดแข่ง
มหกรรมฟุตบอลคืออีกแรงจูงใจสำคัญ
จากสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ ประกอบกับเกือบ 99% ของครัวเรือนประเทศไทยมีโทรทัศน์ติดบ้านอยู่แล้ว ดังนั้นปัจจัยหลักที่ทำให้ซื้อโทรทัศน์เครื่องใหม่ได้ก็คือนวัตกรรม ที่ฝ่ายการตลาดของแต่ละแบรนด์ต้องสื่อให้เข้าใจง่ายด้วย ไม่ใช่บอกจอใหญ่ ภาพชัด เพราะแค่นั้นคงดึงดูดผู้บริโภคชาวไทยที่รอบเปลี่ยนโทรทัศน์เครื่องใหม่เฉลี่ยเกือบ 10 ปี ไม่ได้แน่ๆ
แต่ยังมีเรื่องแปลกในตลาดโทรทัศน์ที่ประเทศไทยไม่เหมือนที่อื่น เพราะเวลามีมหกรรมกีฬา โดยเฉพาะฟุตบอลรายการใหญ่ กลับทำให้ผู้บริโภคต่างยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อโทรทัศน์เครื่องใหม่เป็นประจำ และเรื่องนี้เองก็ทำให้ตลาดโทรทัศน์มูลค่า 30,000 ล้านบาท ที่จำหน่ายปีละ 3 ล้านเครื่อง เติบโตกว่าปกติเล็กน้อย เช่นในปี 2559 แทนที่จะติดลบหนักๆ ก็ลบแค่ 1-2% เท่านั้น
วรรณา สวัสดิกูล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการตลาด บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด เล่าให้ฟังว่า พอปีนี้ไม่มีมหกรรมฟุตบอล ตลาดโทรทัศน์ในประเทศไทยถึงตอนนี้ก็ยังติดลบราว 2-3% เมื่อเทียบเวลาเดียวกันของปีก่อน ดังนั้นอาจต้องรอปี 2561 ที่จะมีมหกรรมฟุตบอลโลกอีกครั้ง และผู้เล่นในตลาดทุกแบรนด์ก็คงอัดแคมเปญเต็มที่ จนตลาดเติบโตอย่างชัดเจน
ถึงโตก็คงไม่เยอะ ลืมได้เลยเรื่องเกิน 10%
“เชื่อว่าตลาดโทรทัศน์ในปีหน้าน่าจะเติบโตแน่ๆ เพราะมีฟุตบอลโลกเข้ามาเกี่ยว แต่ก็คงไม่ใช่เกิน 10% เหมือนเมื่อหลายสิบปีก่อน เพราะต้องเข้าใจว่าเกือบทุกบ้านมีโทรทัศน์ และที่จะซื้อเครื่องใหม่มันก็ไม่ได้มีมากขนาดนั้น ส่วนปีนี้ส่วนตัวซัมซุงยังเชื่อว่าเติบโต เพราะเราเป็นเจ้าตลาด และตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้น Double Digit ในปีนี้”
สำหรับการเติบโตในตลาดโทรทัศน์ของซัมซุงส่วนหนึ่งจะมาจากการเปิดตัวโทรทัศน์ระดับพรีเมียม ล่าสุดส่งตระกูล The Frame โทรทัศน์แบบ Smart TV ความละเอียด UHD ดีไซน์คล้ายกรอบรูปภาพ มีจุดเด่นคือสามารถแสดงภาพที่กำหนดไว้ระหว่างที่ปิดเครื่อง ภายใต้แนวคิด Art when it’s off, TV when it’s on ราคาเริ่ม 69,990 บาทในขนาด 55 นิ้ว
ซึ่ง The Frame นั้นตั้งเป้ายอดขายถึงสิ้นปีที่ 100 ล้านบาท ใช้งบการตลาดราว 10% ของเป้า เน้นทั้งช่องทางออนไลน์ และออฟไลน์ และด้วยความพรีเมียมของสินค้า ทำให้มีสินค้าจัดแสดงเพียง 40 หน้าร้าน นอกจากนี้ยังวางแผนเจาะตลาดแบบ B2B ผ่านการร่วมมือกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เช่นแสนสิริที่จะมีสินค้าของบริษัทจัดแสดงอยู่ เพื่อสร้างโอกาสการขายได้มากขึ้น
สรุป
เมื่อเป็นเจ้าตลาด (ไม่รู้ว่าซัมซุงมีเท่าไหร่ แต่แอลจีเบอร์สองมี 21%) หากเจ้าตลาดเติบโตได้ ตลาดโทรทัศน์ก็คงเติบโตได้เหมือนกัน และการเดินหน้ารุกโครงการอสังหาริมทรัพย์ก็คงเป็นอีกวิธีที่น่าจะเพิ่มยอดขายได้ง่ายขึ้น เพราะไม่ว่าใครๆ ที่ซื้อบ้าน หรือคอนโดใหม่ ส่วนใหญ่ก็ซื้อโทรทัศน์เครื่องใหม่กันทั้งนั้น ดังนั้นหวังว่าปัจจัยทั้งหมดนี้คงทำให้ตลาดกลับมาโต 1-2% ได้อีกครั้ง
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา