ปัจจุบัน Samsung มีการทำตลาด Smartphone เกือบ 20 รุ่น ครอบคลุมตั้งแต่ราคาไม่กี่พัน จนถึงสามหมื่นกว่าบาท แถมช่วงห่างระหว่างรุ่นล่างกับรุ่นกลางยังแค่พันเศษๆ ดังนั้นถ้าทำตลาดไม่ดีก็ทั้งเสียแบรนด์ และเสียยอดด้วย
สื่อสารทุกช่องทางอย่างเป็นระบบ
เมื่อมีรุ่นเยอะขนาดนี้ ทำให้ช่วงห่างของราคาไม่ต่างกันมาก โดยเฉพาะกลุ่มรุ่นระดับเริ่มต้น กับรุ่นระดับกลาง ตัวอย่างเช่น J7+ ที่ทางแบรนด์วางเป็น Smartphone ประสิทธิภาพสูงของรุ่นเริ่มต้นที่ราคา 12,900 บาท กับ A7 (2017) รุ่นราคาระดับกลาง ที่กดราคาลงมาเหลือ 13,990 บาท หรือแพงกว่าตัวล่างแค่พันเศษๆ
วิชัย พรพระตั้ง รองประธานองค์กร ธุรกิจโทรคมนาคมและไอที บริษัท ไทย
“Samsung เลือกช่องทางการสื่อสาร และทำตลาดในแต่ละรุ่นโดยเฉพาะ ผ่านการวางตำแหน่งตระกูล J เป็น Smartphone ระดับ Mass เข้าถึงได้ทุกระดับ ส่วน A ก็เป็นตัวกลางที่ตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อยากใช้ของประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งแค่นี้เราก็ต้องใช้ Tools ในการสื่อสารที่ต่างกันแล้ว”
Balance ยอดขายทุกระดับเท่ากัน
สำหรับสินค้าที่ Samsung ทำตลาดอยู่ในปัจจุบันนั้นเริ่มต้นที่ตระกูล J กว่า 10 รุ่น เริ่มตั้งแต่ราคาราว 3,000-12,000 บาท ถัดมาที่รุ่นกลางตระกูล A ประมาณ 5 รุ่น ราคาระหว่าง 13,000-15,000 บาท และขยับขึ้นไปที่รุ่น Hi-End หรือตระกูล S และ Note ที่ราคาสูงกว่า 20,000 บาท ราว 4 รุ่น
และถึงจะเกลี่ยรุ่นไม่เท่ากัน ยอดขายก็ยังมาจากทั้ง 3 ระดับนี้ในอัตราส่วนใกล้เคียงกัน แสดงให้เห็นถึงการสื่อสารทางการตลาด ทั้ง Digital Marketing และโปรโมชั่นหน้าร้านทำได้ค่อนข้างดี แต่หากนับในแค่จำนวนเครื่อง ตัวตระกูล J ที่เป็นรุ่นระดับล่าง จะเป็นกลุ่มที่ขายได้จำนวนมากที่สุด
มองไปถึงปีหน้า เพราะปีนี้เข้าเป้าแล้ว
ขณะเดียวกัน รายได้ของธุรกิจโทรคมนาคมและไอทีปีนี้ก็น่าจะถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ แม้เพิ่งวางจำหน่าย Galaxy Note 8 ที่เป็น Flagship ตัวใหม่ไปไม่นาน ทำให้บริษัทมองเป้าหมายไปถึงปีหน้า โดยคงกลยุทธ์นวัตกรรมใหม่ ไม่ได้เน้นสงครามราคา และเชื่อว่าตลาดนี้คงแข่งขันกันอย่างดุเดือดผ่านผู้เล่นจากจีนที่เข้ามาต่อเนื่องเช่นเดิม
สรุป
แม้การซอยรุ่นออกมามากๆ จะทำให้ผู้บริโภคเลือกได้หลากหลาย และสร้างความยากให้กับคู่แข่งในการต่อกร แต่หากบริหารไม่ดี โอกาสที่แต่ละรุ่นจะถูกผู้บริโภคมองว่าคล้ายๆ กันก็มีสูง ดังนั้นการเลือกวิธีการสื่อสารที่ถูกต้อง เช่นรุ่นเริ่มต้นต้องใช้สื่อแมส และเน้นหน้าร้าน ก็น่าจะเป็นอีกวิธีที่ช่วยปิดการขายได้เร็วขึ้น
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา